หลังจากที่ดาด้ามีแฟนแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาลุ้นว่าจะท้องหรือเปล่า
จากวันที่ผสมถึงวันนี้ (1/5/53) ก็ 26 วันพอดี
สังเกตุท้องก็เหมือนจะขยายหน่อยนึง
แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เพราะดาด้าเป็นหมาอ้วน กินเก่ง มีพุงอยู่แล้ว
กะว่าเดี๋ยวครบเดือนเมื่อไหร่ จะพาไปอัลตร้าซาวนด์ดูค่ะว่าท้องมั๊ย
ถ้าท้องจริงจะได้เตรียมตัวถูก ไม่ต้องมานั่งลุ้นให้เหนื่อยใจ
การตรวจท้องแม่หมาวิธีปกติที่ทำคือ
การคลำท้อง
ซึ่งถ้าทำโดยหมอผู้ชำนาญแล้ว
จะบอกได้ตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 30 ของการตั้งท้อง
เนื่องจากปีกมดลูกขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ข้อจำกัดของการคลำท้องก็คือ ถ้าหมาอ้วนมาก
หรือขี้กลัว (ประสาท) ระแวง ไม่ให้ความร่วมมือ
หรือเกร็งตลอดเวลาจะทำให้ตรวจยาก
การฉายเอ็กซเรย์
โดยหลักการเพื่อดูโครงกระดูกของลูกหมา
ซึ่งจะเริ่มตรวจพบด้วยการฉายเอ็กซเรย์ในวันที่ 20-21 ก่อนคลอด
หรือช่วงวันที่ 42 ถึง 52 หลังการผสมพันธุ์
นอกจากจะบอกได้ว่าท้องหรือไม่แล้ว
การเอ็กซเรย์ยังบอกจำนวนลูกหมา
และท่าทางต่างๆ ว่าจะก่อให้เกิดผิดปกติในขณะคลอดหรือไม่
ใช้อัลตร้าซาวนด์
วิธีนี้ตรวจท้องได้เร็วและแม่นยำ
โดยจะตรวจเห็นตัวลูกหมาได้ตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 20 ของการตั้งท้อง
และจะเห็นการเต้นของหัวใจลูกหมาได้เมื่อวันที่ 25
วิธีนี้ใช้ตรวจแยกการตั้งท้องออกจากมดลูกอักเสบได้เป็นอย่างดี
ส่วนการตรวจเลือดและฉี่เช่นในมนุษย์นั้นไม่เป็นที่นิยมกระทำในหมา
เนื่องจากว่ายังมีค่าใช้จ่ายสูง และบอกได้ไม่แน่นอนเท่าวิธีอื่น
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ http://tvma.tripod.com
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553
โรคทางพันธุกรรมที่พบในสุนัขพันธุ์ต่างๆ
1. พันธุ์บ๊อกเซอร์
มีปัญหาทางระบบหายใจ และเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากจมูกและขากรรไกรสั้น เป็นมะเร็งมากกว่าปกติ
2. พันธุ์เยอรมันเชพเพอด
ตัวเล็กเนื่องจากต่อมใต้สมองทำงานไม่ได้ผล เป็นลมบ้าหมู
โรคกระดูกสะโพกห่างกันมากกว่าปกติ
3. พันธุ์เกร็ทเดน
อายุสั้น โรคกระดูก ข้ออักเสบ กระดูกขาโค้ง
4. พันธุ์คอลลี่
ขนยาวมากในบางชนิด เช่น เช็ทแลนด์ ชีพด๊อก ตาผิดปกติในแบบต่างๆ รวมถึงจอตามีขนาดเล็กลง
5. พันธุ์บาสเซท ฮาวด์
มีปัญหาที่ตา และขอบตา รวมถึงการเป็นต้อหิน เป็นข้ออักเสบ
เนื่องจากขาโก่งและเท้าบิดหลังได้รับอันตรายได้ง่าย โรคข้อกระดูกสันหลัง
หูมีปัญหาเนื่องจากหูยาวและหูตก
6. พันธุ์ค๊อกเกอร์ สเปเนียล
มีขนตาภายในขอบตามากทำให้เจ็บตาบ่อย เป็นโรคหูเรื้องรัง เนื่องจากขนหูยาวและหูตก
เป็นลมบ้าหมูมากกว่าพันธุ์อื่น
7. พันธุ์ปั๊ก
ตาถลน โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคทางฟัน สาเหตุเนื่องจากจมูกสั้น
8. พันธุ์เชา-เชา
ปัญหาของขอบตา ซึ่งออกม้วนเข้า หรือม้วนออกก็ได้
9. พันธุ์ดัชชุนด์
ส่วนของหลังจะได้รับอันตรายได้ง่ายมาก เนื่องจากมีหลังที่ยาวกว่าปกติ
กระดูกงอระหว่างกระดูกสันหลังเมื่ออายุมาก และปัญหาเกี่ยวกับข้อกระดูกสันหลัง
10. พันธุ์เทอร์เรีย
หัวกระดูกต้นขาหลังตาย เนื่องจากไม่มีเลือดไปเลี้ยง
11. พันธุ์บลูด๊อกอังกฤษ
ปัญหาระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากจมูกสั้น ปัญหาเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากขากรรไกสั้น ขากรรไกรบนและล่างยื่นออกมา
โรคทางผิวหนังเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอยู่ในรอยย่นของผิวหนัง มีปัญหาตอนคลอดลูก
12. พันธุ์ชิวาว่า
ตาได้รับอันตรายง่าย เนื่องจากตาถลน ตั้งท้องยากเนื่องจากขนาดเล็ก
การเจริญเติบโตไม่เต็มที่ยังคงเหลือให้เห็น เช่น ฟันน้ำนม รูเปิดของกะโหลกศีษระ
ศีรษะโตเพราะมีน้ำอยู่ภายในมากกว่าปกติ
13. พันธุ์ปักกิ่ง
ลูกตายื่นออกมามากเกินควร ทำให้กระจกตาแห้ง และได้รับอันตรายได้ง่าย
โดยทางระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากจมูกสั้น โรคเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากขากรรไกรสั้น โรคตาอักเสบ เนื่องจากผิวหนังม้วนแล้วไปเสียดสีกับลูกตา
14. พันธุ์เซ็นท์ เบอร์นาร์ด
ขอบตาเปลี่ยนรูป ทำให้ตาเจ็บและเยื่อตาขาวอักเสบ
รูปร่างใหญ่เกินขนาด อาจทำให้ชีวิตสั้นลง กระดูกเจริญมากผิดปกติ ข้อกระดูกสะโพกเคลื่อน
15. พันธุ์พูเดิ้ล
มีปัญหาด้านข้อสะบ้าเคลื่อน ทำให้เกิดความเจ็บปวดเมื่อเคลื่อนไหว
ข้อมูลจาก:; The VET & The PET
มีปัญหาทางระบบหายใจ และเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากจมูกและขากรรไกรสั้น เป็นมะเร็งมากกว่าปกติ
2. พันธุ์เยอรมันเชพเพอด
ตัวเล็กเนื่องจากต่อมใต้สมองทำงานไม่ได้ผล เป็นลมบ้าหมู
โรคกระดูกสะโพกห่างกันมากกว่าปกติ
3. พันธุ์เกร็ทเดน
อายุสั้น โรคกระดูก ข้ออักเสบ กระดูกขาโค้ง
4. พันธุ์คอลลี่
ขนยาวมากในบางชนิด เช่น เช็ทแลนด์ ชีพด๊อก ตาผิดปกติในแบบต่างๆ รวมถึงจอตามีขนาดเล็กลง
5. พันธุ์บาสเซท ฮาวด์
มีปัญหาที่ตา และขอบตา รวมถึงการเป็นต้อหิน เป็นข้ออักเสบ
เนื่องจากขาโก่งและเท้าบิดหลังได้รับอันตรายได้ง่าย โรคข้อกระดูกสันหลัง
หูมีปัญหาเนื่องจากหูยาวและหูตก
6. พันธุ์ค๊อกเกอร์ สเปเนียล
มีขนตาภายในขอบตามากทำให้เจ็บตาบ่อย เป็นโรคหูเรื้องรัง เนื่องจากขนหูยาวและหูตก
เป็นลมบ้าหมูมากกว่าพันธุ์อื่น
7. พันธุ์ปั๊ก
ตาถลน โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคทางฟัน สาเหตุเนื่องจากจมูกสั้น
8. พันธุ์เชา-เชา
ปัญหาของขอบตา ซึ่งออกม้วนเข้า หรือม้วนออกก็ได้
9. พันธุ์ดัชชุนด์
ส่วนของหลังจะได้รับอันตรายได้ง่ายมาก เนื่องจากมีหลังที่ยาวกว่าปกติ
กระดูกงอระหว่างกระดูกสันหลังเมื่ออายุมาก และปัญหาเกี่ยวกับข้อกระดูกสันหลัง
10. พันธุ์เทอร์เรีย
หัวกระดูกต้นขาหลังตาย เนื่องจากไม่มีเลือดไปเลี้ยง
11. พันธุ์บลูด๊อกอังกฤษ
ปัญหาระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากจมูกสั้น ปัญหาเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากขากรรไกสั้น ขากรรไกรบนและล่างยื่นออกมา
โรคทางผิวหนังเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอยู่ในรอยย่นของผิวหนัง มีปัญหาตอนคลอดลูก
12. พันธุ์ชิวาว่า
ตาได้รับอันตรายง่าย เนื่องจากตาถลน ตั้งท้องยากเนื่องจากขนาดเล็ก
การเจริญเติบโตไม่เต็มที่ยังคงเหลือให้เห็น เช่น ฟันน้ำนม รูเปิดของกะโหลกศีษระ
ศีรษะโตเพราะมีน้ำอยู่ภายในมากกว่าปกติ
13. พันธุ์ปักกิ่ง
ลูกตายื่นออกมามากเกินควร ทำให้กระจกตาแห้ง และได้รับอันตรายได้ง่าย
โดยทางระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากจมูกสั้น โรคเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากขากรรไกรสั้น โรคตาอักเสบ เนื่องจากผิวหนังม้วนแล้วไปเสียดสีกับลูกตา
14. พันธุ์เซ็นท์ เบอร์นาร์ด
ขอบตาเปลี่ยนรูป ทำให้ตาเจ็บและเยื่อตาขาวอักเสบ
รูปร่างใหญ่เกินขนาด อาจทำให้ชีวิตสั้นลง กระดูกเจริญมากผิดปกติ ข้อกระดูกสะโพกเคลื่อน
15. พันธุ์พูเดิ้ล
มีปัญหาด้านข้อสะบ้าเคลื่อน ทำให้เกิดความเจ็บปวดเมื่อเคลื่อนไหว
ข้อมูลจาก:; The VET & The PET
ตู้ยาน้องหมา
ตู้ยาน้องหมา
posted on 17 Nov 2009 11:13 by eeddy in eeddyLife
สมัยนี้เกือบทุกบ้านมักจะมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน
โดยเฉพาะน้องหมา บางบ้านมีเพียง 1-2 ตัว บางบ้านมีเป็นสิบ
การมีตู้ยาประจำบ้านเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องนึกถึง
ถ้าหากเจ้าตัวน้อยของเราเกิดป่วย หรือได้รับอุบัติเหตุตอนดึก ๆ
เราคงต้องขับรถตระเวนหาโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิด 24 ชั่วโมง
ที่มีอยู่ไม่ถึง 10 แห่ง กว่าจะปลุกหมอมาตรวจพอดีเช้าเสียก่อน
ถ้าอย่างนั้นเรามาลองตระเตรียมตู้ยาประจำบ้าน สำหรับน้องหมากันบ้าง
ซึ่งรายการของที่ต้องเตรียมก็สามารถหาได้ไม่ยาก ดังต่อไปนี้...
posted on 17 Nov 2009 11:13 by eeddy in eeddyLife
สมัยนี้เกือบทุกบ้านมักจะมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน
โดยเฉพาะน้องหมา บางบ้านมีเพียง 1-2 ตัว บางบ้านมีเป็นสิบ
การมีตู้ยาประจำบ้านเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องนึกถึง
ถ้าหากเจ้าตัวน้อยของเราเกิดป่วย หรือได้รับอุบัติเหตุตอนดึก ๆ
เราคงต้องขับรถตระเวนหาโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิด 24 ชั่วโมง
ที่มีอยู่ไม่ถึง 10 แห่ง กว่าจะปลุกหมอมาตรวจพอดีเช้าเสียก่อน
ถ้าอย่างนั้นเรามาลองตระเตรียมตู้ยาประจำบ้าน สำหรับน้องหมากันบ้าง
ซึ่งรายการของที่ต้องเตรียมก็สามารถหาได้ไม่ยาก ดังต่อไปนี้...
ประโยชน์ของ"หนวด"
หนวด หรือ whisker ของสัตว์มีประโยชน์หลายอย่าง
หนวดที่ว่านี่คือขนยาวซึ่งขึ้นระหว่างริมฝีปากบนกับขอบล่างของจมูก
จะมีความหนามากกว่าขนธรรมดาสองสามเท่าได้แล้วก็ยาวกว่า
(ไม่ควรตัดโดยเด็ดขาด, อันนี้ไม่นับพวกที่ขนปุยทั้งตัวนะ)
แล้วรากของหนวดก็จะอยู่ลึกกว่ารากขนธรรมดาด้วย
ประโยชน์ของหนวดได้แก่
- ช่วยคลำทาง ไม่ได้หมายความว่าใช้หนวดสัมผัสเพื่อสำรวจทาง
แต่หนวดพวกนี้จะค่อนข้างยาว แล้วก็ sensitive มากต่อกระแสลม
ช่วยให้สัตว์พวกนี้รู้คร่าวๆ ว่าจะมีสิ่งกีดขวางอะไรอยู่ข้างหน้ารึเปล่า
จากกระแสอากาศที่สัมผัสได้ด้วยหนวด
ช่วยในการไปไหนมาไหนตอนมืดๆ ค่ำๆ
- ช่วยแสดงอารมณ์ เวลาอารมณ์เปลี่ยนลักษณะของหนวดก็จะเปลี่ยน
คล้ายกับขนทั้งตัวเช่นกัน อย่างแมวเวลาโกรธขนจะตั้งๆ หน่อย
ทีนี้หนวดมันยาวกว่าก็จะเห็นได้ชัดขึ้น
- อันสุดท้ายนี่สำคัญสำหรับพวกที่ตัวเล็กๆ หน่อย
อย่าง แมว หนู รึกระต่าย ก็คือใช้เป็นไม้บรรทัดวัดขนาด
ถ้าสังเกตจะพบว่าหนวดจะมีความกว้างรวมใกล้เคียงกับขนาดตัวของมัน
ดังนั้นเวลาจะมุดซอกมุดรู
ก็จะใช้หนวดนี่วัดได้คร่าวๆ ว่าตัวจะลอดไปได้รึเปล่า
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ วิชาการ.คอม
หนวดที่ว่านี่คือขนยาวซึ่งขึ้นระหว่างริมฝีปากบนกับขอบล่างของจมูก
จะมีความหนามากกว่าขนธรรมดาสองสามเท่าได้แล้วก็ยาวกว่า
(ไม่ควรตัดโดยเด็ดขาด, อันนี้ไม่นับพวกที่ขนปุยทั้งตัวนะ)
แล้วรากของหนวดก็จะอยู่ลึกกว่ารากขนธรรมดาด้วย
ประโยชน์ของหนวดได้แก่
- ช่วยคลำทาง ไม่ได้หมายความว่าใช้หนวดสัมผัสเพื่อสำรวจทาง
แต่หนวดพวกนี้จะค่อนข้างยาว แล้วก็ sensitive มากต่อกระแสลม
ช่วยให้สัตว์พวกนี้รู้คร่าวๆ ว่าจะมีสิ่งกีดขวางอะไรอยู่ข้างหน้ารึเปล่า
จากกระแสอากาศที่สัมผัสได้ด้วยหนวด
ช่วยในการไปไหนมาไหนตอนมืดๆ ค่ำๆ
- ช่วยแสดงอารมณ์ เวลาอารมณ์เปลี่ยนลักษณะของหนวดก็จะเปลี่ยน
คล้ายกับขนทั้งตัวเช่นกัน อย่างแมวเวลาโกรธขนจะตั้งๆ หน่อย
ทีนี้หนวดมันยาวกว่าก็จะเห็นได้ชัดขึ้น
- อันสุดท้ายนี่สำคัญสำหรับพวกที่ตัวเล็กๆ หน่อย
อย่าง แมว หนู รึกระต่าย ก็คือใช้เป็นไม้บรรทัดวัดขนาด
ถ้าสังเกตจะพบว่าหนวดจะมีความกว้างรวมใกล้เคียงกับขนาดตัวของมัน
ดังนั้นเวลาจะมุดซอกมุดรู
ก็จะใช้หนวดนี่วัดได้คร่าวๆ ว่าตัวจะลอดไปได้รึเปล่า
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ วิชาการ.คอม
วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เมื่อเจ้าโฮ่งที่บ้านอ้วน…….
น้ำหนักของเจ้าตัวดีที่บ้าน….ทำไมถึงสำคัญนัก
ไม่ว่าสุนัขหรือแมวก็ควรมีน้ำหนักที่เหมาะสม เหมือนกับคนเช่นกัน เมื่อสัตว์เลี้ยงของเรามีรูปร่างสมส่วน
มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม พวกเค้าก็จะมีสุขภาพที่ดี กระฉับกระเฉง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้าย และมีอายุยืนยาว
เมื่อสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักที่สูงเกินกว่าเกณฑ์มาตราฐาน 15% จะถือว่าสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักเกิน (Overweight)
หากพวกเค้ามีน้ำหนักที่สูงเกินมาตราฐานมากกว่า 15% สัตว์เลี้ยงของคุณจะเป็นโรคอ้วน (Obese)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าโฮ่ง มีน้ำหนักเกินกว่ามาตราฐาน
คลำไม่พบกระดูกซี่โครง
ไม่ว่ามองจากด้านข้างหรือด้านบน คุณก็มองไม่เห็นเอวของเค้า
เดินลำบาก
ไม่ค่อยมีแรง
ได้ยินเสียงหายใจ เป็นจังหวะสั้นๆ
ขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย
นอนเก่ง
มีโรคประจำตัวต่างๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
ทำความรู้จักกับ Body Condition Score (BCS): เกณฑ์รูปร่าง และความสมบูรณ์
อ้วนมาก - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำไม่พบ มีไขมันปกคลุมหนา
หนา มีไขมันมาก
ไม่มีรอยคอด มีไขมันมาก
หลังกว้าง แบน เห็นได้ชัด
อ้วน - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำพบได้ยาก มีไขมันปกคลุม
หนากว่าปกติ มีไขมันปกคลุม
ไม่มีรอยคอด
หลังกว้าง ไม่มีเอว
สมบูรณ์ - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำพบได้ ไขมันปกคลุมพอเหมาะ
เรียบ ไขมันปกคลุมเล็กน้อย
มีเอว
รูปร่างสมส่วน มีเอว
สาเหตุของความอ้วน
อาหารมากเกิน (Overnutririon)
หมายถึงการได้ปริมาณของอาหารที่มากเกินความต้องการปกติของร่างกาย หรือการได้กินอาหารที่ให้พลังงานมากเกินความต้องการ
โรค (Diseases)
ความอ้วนอาจเกิดจากภาวะของโรคบางอย่างได้ การแก้ไขจำเป็นต้องทำให้ตรงกับสาเหตุที่เกิด
ทำหมัน (Neutering / Spaying)
การทำหมันนั้น เพิ่มความเสี่ยงของความอ้วนในสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเป็นผลจากขบวนการ Metabolism ในร่างกายนั้นลดลง
อายุมาก (Age)
สัตว์เลี้ยงที่มีอายุมากขึ้นมักมีกิจกรรมต่างๆลดลง พลังงานที่ต้องการจึงลดลงตามมา หากได้รับพลังงานจากอาหารในปริมาณที่มากเท่าเดิม สัตว์เลี้ยงจึงมีความเสี่ยงต่อความอ้วนได้
ไม่ได้ออกกำลังกายเพียงพอ (Limited Exercise)
สัตว์เลี้ยงอาจไม่ชอบออกกำลังกายด้วยตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการพลังงานมาก หากได้รับอาหารแม้จะดูเหมือนว่ามีปริมาณปกติก็อาจทำให้อ้วนได้
ผลเสียของความอ้วน
ปัญหาต่างๆ ที่มักพบตามมาจากความอ้วน
ระบบข้อต่อ และการเคลื่อนไหวผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดปัญหาข้อสะโพกเสื่อม
หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย
ความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคไต
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ตับทำงานเสื่อมลงเนื่องจากมีการสะสมของไขมันภายในตับ
ความสามารถในการสืบพันธุ์ลดลง พบไขมันหนาในถุงอัณฑะ น้ำหนักมากกว่าตัวเมียมากๆทำให้ไม่สามารถขึ้นผสมได้ อัตราการผสมติดต่ำ จำนวนลูกต่อครอกน้อย
คลอดยาก เนื่องจากมีไขมันไปเกาะอยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน ขัดขวางการคลอด ไม่มีแรงเบ่งคลอด
อดทนต่ออากาศร้อนต่ำ
เพิ่มโอกาสของการติดเชื้อบริเวณผิวหนังมากกว่า
มีโอกาสการเกิดโรคเนื้องอกได้ง่ายกว่า
มีความเสี่ยงของปัญหาที่เกิดจากการวางยาสลบมากกว่า เนื่องจากยาสลบหลายชนิดจะไปสะสมอยู่ในเซลไขมัน ทำให้มีการออกฤทธิ์ยาวนานขึ้น
ความต้านทานโรคลดลง
เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานมากกว่า
เมื่อสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักที่เหมาะสม หรือสามารถลดน้ำหนักลงมาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ อาการต่างๆเหล่านี้ก็จะลดลง หรือลดความเสี่ยงของอาการต่างๆเหล่านี้ได้
การควบคุมน้ำหนัก (Weight Management)
ฮิลล์ เพรสคริพชั่น ไดเอท (Hill’s Prescription Diet) มีผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
* Hill’s Prescription Diet - Canine r/d
อาหารสุนัขสำหรับการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะ ด้วยสารอาหารที่ครบถ้วนสำหรับสุนัขโต แต่ลดปริมาณของไขมัน และพลังงานลง เพื่อให้ร่างกายดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ รวมถึงเพิ่มปริมาณใยอาหารธรรมชาติ ให้สุนัขรู้สึกอิ่ม ทำให้ไม่เครียดจากการควบคุมอาหาร นอกจากนั้นยังมี L-Carnitine สารอาหารสำคัญ ที่ช่วยเปลี่ยนไขมันส่วนเกินให้เป็นพลังงาน และกล้ามเนื้อ ปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง และช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* Hill’s Prescription Diet - Canine w/d
อาหารสุนัขสำหรับการควบคุมน้ำหนักโดยเฉพาะ ยังคงเต็มไปด้วยสารอาหารครบถ้วนและสมดุลย์สำหรับสุนัขโต ซึ่งลดปริมาณของไขมันและพลังงานลงสำหรับการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมี ประสิทธิภาพ หลังจากการลดน้ำหนักได้แล้ว เหมาะกับสุนัขที่อ้วนง่าย
* Hill’s Science Diet
Canine Small Bites Light & Canine Light
อาหารสำหรับสุนัขโตที่พบว่าอ้วนง่าย มีแนวโน้มว่าจะอ้วน หรือสำหรับสุนัขหลังจากทำหมันแล้ว และยังแนะนำสำหรับให้สุนัขภายหลังการลดน้ำหนักเป็นผลสำเร็จแล้ว
ข้อแนะนำสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
นัดสัตวแพทย์เพื่อทำการประเมินน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของท่าน
ให้เฉพาะอาหารที่แนะนำโดยสัตวแพทย์
ปฏิบัติตามโปรแกรมลดน้ำหนักสัตว์เลี้ยงอย่างเคร่งครัด เช่น มื้ออาหาร ปริมาณอาหาร และพาสัตว์เลี้ยง
ออกกำลังกายตามที่สัตวแพทย์แนะนำ
ให้รางวัลสัตว์เลี้ยงของท่านด้วยการโอบกอด เล่นเกมส์ หรือพาไปเดินเล่นแทนที่จะให้รางวัลด้วยอาหาร
ชั่งน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของท่านอย่างสม่ำเสมอ
ที่มาของเนื้อหาทั้งหมด : http://www.petnutritioncenter.com/
ไม่ว่าสุนัขหรือแมวก็ควรมีน้ำหนักที่เหมาะสม เหมือนกับคนเช่นกัน เมื่อสัตว์เลี้ยงของเรามีรูปร่างสมส่วน
มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม พวกเค้าก็จะมีสุขภาพที่ดี กระฉับกระเฉง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้าย และมีอายุยืนยาว
เมื่อสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักที่สูงเกินกว่าเกณฑ์มาตราฐาน 15% จะถือว่าสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักเกิน (Overweight)
หากพวกเค้ามีน้ำหนักที่สูงเกินมาตราฐานมากกว่า 15% สัตว์เลี้ยงของคุณจะเป็นโรคอ้วน (Obese)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าโฮ่ง มีน้ำหนักเกินกว่ามาตราฐาน
คลำไม่พบกระดูกซี่โครง
ไม่ว่ามองจากด้านข้างหรือด้านบน คุณก็มองไม่เห็นเอวของเค้า
เดินลำบาก
ไม่ค่อยมีแรง
ได้ยินเสียงหายใจ เป็นจังหวะสั้นๆ
ขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย
นอนเก่ง
มีโรคประจำตัวต่างๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
ทำความรู้จักกับ Body Condition Score (BCS): เกณฑ์รูปร่าง และความสมบูรณ์
อ้วนมาก - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำไม่พบ มีไขมันปกคลุมหนา
หนา มีไขมันมาก
ไม่มีรอยคอด มีไขมันมาก
หลังกว้าง แบน เห็นได้ชัด
อ้วน - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำพบได้ยาก มีไขมันปกคลุม
หนากว่าปกติ มีไขมันปกคลุม
ไม่มีรอยคอด
หลังกว้าง ไม่มีเอว
สมบูรณ์ - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำพบได้ ไขมันปกคลุมพอเหมาะ
เรียบ ไขมันปกคลุมเล็กน้อย
มีเอว
รูปร่างสมส่วน มีเอว
สาเหตุของความอ้วน
อาหารมากเกิน (Overnutririon)
หมายถึงการได้ปริมาณของอาหารที่มากเกินความต้องการปกติของร่างกาย หรือการได้กินอาหารที่ให้พลังงานมากเกินความต้องการ
โรค (Diseases)
ความอ้วนอาจเกิดจากภาวะของโรคบางอย่างได้ การแก้ไขจำเป็นต้องทำให้ตรงกับสาเหตุที่เกิด
ทำหมัน (Neutering / Spaying)
การทำหมันนั้น เพิ่มความเสี่ยงของความอ้วนในสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเป็นผลจากขบวนการ Metabolism ในร่างกายนั้นลดลง
อายุมาก (Age)
สัตว์เลี้ยงที่มีอายุมากขึ้นมักมีกิจกรรมต่างๆลดลง พลังงานที่ต้องการจึงลดลงตามมา หากได้รับพลังงานจากอาหารในปริมาณที่มากเท่าเดิม สัตว์เลี้ยงจึงมีความเสี่ยงต่อความอ้วนได้
ไม่ได้ออกกำลังกายเพียงพอ (Limited Exercise)
สัตว์เลี้ยงอาจไม่ชอบออกกำลังกายด้วยตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการพลังงานมาก หากได้รับอาหารแม้จะดูเหมือนว่ามีปริมาณปกติก็อาจทำให้อ้วนได้
ผลเสียของความอ้วน
ปัญหาต่างๆ ที่มักพบตามมาจากความอ้วน
ระบบข้อต่อ และการเคลื่อนไหวผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดปัญหาข้อสะโพกเสื่อม
หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย
ความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคไต
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ตับทำงานเสื่อมลงเนื่องจากมีการสะสมของไขมันภายในตับ
ความสามารถในการสืบพันธุ์ลดลง พบไขมันหนาในถุงอัณฑะ น้ำหนักมากกว่าตัวเมียมากๆทำให้ไม่สามารถขึ้นผสมได้ อัตราการผสมติดต่ำ จำนวนลูกต่อครอกน้อย
คลอดยาก เนื่องจากมีไขมันไปเกาะอยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน ขัดขวางการคลอด ไม่มีแรงเบ่งคลอด
อดทนต่ออากาศร้อนต่ำ
เพิ่มโอกาสของการติดเชื้อบริเวณผิวหนังมากกว่า
มีโอกาสการเกิดโรคเนื้องอกได้ง่ายกว่า
มีความเสี่ยงของปัญหาที่เกิดจากการวางยาสลบมากกว่า เนื่องจากยาสลบหลายชนิดจะไปสะสมอยู่ในเซลไขมัน ทำให้มีการออกฤทธิ์ยาวนานขึ้น
ความต้านทานโรคลดลง
เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานมากกว่า
เมื่อสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักที่เหมาะสม หรือสามารถลดน้ำหนักลงมาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ อาการต่างๆเหล่านี้ก็จะลดลง หรือลดความเสี่ยงของอาการต่างๆเหล่านี้ได้
การควบคุมน้ำหนัก (Weight Management)
ฮิลล์ เพรสคริพชั่น ไดเอท (Hill’s Prescription Diet) มีผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
* Hill’s Prescription Diet - Canine r/d
อาหารสุนัขสำหรับการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะ ด้วยสารอาหารที่ครบถ้วนสำหรับสุนัขโต แต่ลดปริมาณของไขมัน และพลังงานลง เพื่อให้ร่างกายดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ รวมถึงเพิ่มปริมาณใยอาหารธรรมชาติ ให้สุนัขรู้สึกอิ่ม ทำให้ไม่เครียดจากการควบคุมอาหาร นอกจากนั้นยังมี L-Carnitine สารอาหารสำคัญ ที่ช่วยเปลี่ยนไขมันส่วนเกินให้เป็นพลังงาน และกล้ามเนื้อ ปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง และช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* Hill’s Prescription Diet - Canine w/d
อาหารสุนัขสำหรับการควบคุมน้ำหนักโดยเฉพาะ ยังคงเต็มไปด้วยสารอาหารครบถ้วนและสมดุลย์สำหรับสุนัขโต ซึ่งลดปริมาณของไขมันและพลังงานลงสำหรับการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมี ประสิทธิภาพ หลังจากการลดน้ำหนักได้แล้ว เหมาะกับสุนัขที่อ้วนง่าย
* Hill’s Science Diet
Canine Small Bites Light & Canine Light
อาหารสำหรับสุนัขโตที่พบว่าอ้วนง่าย มีแนวโน้มว่าจะอ้วน หรือสำหรับสุนัขหลังจากทำหมันแล้ว และยังแนะนำสำหรับให้สุนัขภายหลังการลดน้ำหนักเป็นผลสำเร็จแล้ว
ข้อแนะนำสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
นัดสัตวแพทย์เพื่อทำการประเมินน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของท่าน
ให้เฉพาะอาหารที่แนะนำโดยสัตวแพทย์
ปฏิบัติตามโปรแกรมลดน้ำหนักสัตว์เลี้ยงอย่างเคร่งครัด เช่น มื้ออาหาร ปริมาณอาหาร และพาสัตว์เลี้ยง
ออกกำลังกายตามที่สัตวแพทย์แนะนำ
ให้รางวัลสัตว์เลี้ยงของท่านด้วยการโอบกอด เล่นเกมส์ หรือพาไปเดินเล่นแทนที่จะให้รางวัลด้วยอาหาร
ชั่งน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของท่านอย่างสม่ำเสมอ
ที่มาของเนื้อหาทั้งหมด : http://www.petnutritioncenter.com/
โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis)
โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) สำหรับสุนัข
thumb-20071027-0614220.jpg
พบมาก : สุนัขทุกวัย และสามารถติดต่อถึงคนได้
สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ : ไข้สูง เบื่ออาหาร ซึม อาเจียน หายใจขัด กระหายน้ำ ตัวเหลือง ขาหลังสั่น และเกร็ง ไม่ยอมลุกเดินไปไหน เยื่อบุช่องปากอาจมีจุดเลือดออก ตายภายใน 5 - 10 วัน หลังจากแสดงอาการ
การรักษา : ไม่มียารักษา
การป้องกัน : ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรก 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกๆปี ปีละครั้ง
ข้อมูลจาก คัดจาก http://www.sappasan.com/forum/viewtopic.php?t=1967
by am
thumb-20071027-0614220.jpg
พบมาก : สุนัขทุกวัย และสามารถติดต่อถึงคนได้
สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ : ไข้สูง เบื่ออาหาร ซึม อาเจียน หายใจขัด กระหายน้ำ ตัวเหลือง ขาหลังสั่น และเกร็ง ไม่ยอมลุกเดินไปไหน เยื่อบุช่องปากอาจมีจุดเลือดออก ตายภายใน 5 - 10 วัน หลังจากแสดงอาการ
การรักษา : ไม่มียารักษา
การป้องกัน : ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรก 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกๆปี ปีละครั้ง
ข้อมูลจาก คัดจาก http://www.sappasan.com/forum/viewtopic.php?t=1967
by am
ธนาคารเลือดสัตว์
:: ธนาคารเลือดสัตว์ อีกเส้นทางแห่งการกอบกู้ชีวิต ::
20071027-072848.gif
สุนัขสัตว์เลี้ยงที่ภักดีต่อเจ้าของ คนรักสุนัขอย่านิ่งเฉย สัตวแพทย์ขอความร่วมมือช่วยกันบริจาคเลือดสุนัข ซึ่งกำลังขาดแคลนอย่างหนัก นายสัตวแพทย์ พายุ ศรีสุภร แพทย์ประจำธนาคารเลือดสัตว์ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศ กล่าวถึงที่มาของธนาคารเลือดสัตว์ว่า ก่อตั้งเป็นรูปเป็นร่างเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เดิมเรามีการถ่ายเลือดอยู่แล้ว
แต่ยังไม่มีธนาคารเลือดเพื่อบริการแก่สัตว์ที่ป่วย ทั้งจากอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน และที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคเลือด ในต่างประเทศมีมานานแล้ว จึงได้มีการสร้าง ธนาคารเลือดแห่งนี้ขึ้น ตั้งอยู่ชั้น 3 ของโรงพยาบาล
โดยธนาคารเลือดสัตว์ ขณะนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเคสเดิมๆ ขึ้นอยู่กับทางเจ้าของสุนัขด้วย ทำให้เกิดวิกฤติการขาดเลือดมาตลอด ในช่วงแรกหากสุนัขมีความต้องการเลือด ทางเจ้าของก็ต้องจัดการหาจากสุนัข เพื่อนบ้าน หรือหาจากที่อื่น ส่วนใหญ่จะเป็นเคสหนักๆ ที่ส่งต่อมาจากคลินิก หรือสถานประกอบการอื่นๆ แต่บางครั้งเราก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีเลือดให้
การเก็บเลือดจะเก็บเอาไว้ในถุงเก็บเลือดชนิดเดียวกับของคน ในการบริจาค 1 ครั้ง จะเก็บเลือดปริมาณ 1 ยูนิต หรือ 350 ซีซี ซึ่งโดยปกติความสามารถในการให้เลือดจะอยู่ระหว่าง 10-20 ซีซีต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ความถี่ในการบริจาคทุกๆ 4-6 เดือน ก่อนที่จะทำการเจาะเก็บเลือด สัตวแพทย์จะทำการวางยาซึมให้สุนัข เพื่อป้องกันสุนัขดิ้นระหว่างการเก็บเลือด เนื่องจากบริเวณที่ใช้เจาะเก็บเลือดคือบริเวณคอ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ ทำให้ได้เลือดไว ไม่ทันแข็งตัว ถ้าสุนัขดิ้นอาจจะเกิดอันตรายได้ ยาซึมนี้จะ ทำให้สุนัขมีอาการง่วงซึมเท่านั้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
นายสัตวแพทย์พายุกล่าวต่อว่า ส่วนประกอบในเลือดแบ่งได้ เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ เม็ดเลือดแดง น้ำเลือด หลังจากการเจาะเก็บเลือด เลือดที่ได้จะนำมาแยกเป็น 2 ส่วน เม็ดเลือดแดงเก็บได้นาน 28 วัน ส่วนพลาสม่าจะถูกนำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส เก็บได้นาน 5 ปี ซึ่งเม็ดเลือดแดงจะนำไปใช้ในกรณีของโรคโลหิตจาง พยาธิในเม็ดเลือดอย่างรุนแรง การเสียเลือดจากการผ่าตัด และเสียเลือดอย่าง รุนแรงจากอุบัติเหตุ ส่วนพลาสม่าจะนำไปใช้ในกรณีปัญหาการแข็งตัวของ เลือด หรือโรคเลือดบางชนิด หรือภาวะการขาดโปรตีนหรือขาดสารอาหาร และอาจนำผลิตภัณฑ์เลือดไปใช้ในกรณีพิเศษอื่นๆ
เมื่อได้เลือดมาจะนำไปผ่านเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกเลือด ปั่นด้วยความเร็วสูง 350 รอบต่อวินาที
การใช้เลือดให้กับสุนัขจะขึ้นอยู่กับหมอจะพิจารณา ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงตัวนั้นขาดอะไรก็จะให้ สิ่งนั้น ไม่ใช่ให้ทั้งหมด เพราะข้อดีของการให้เลือดคือ ช่วยชีวิตสัตว์ได้ แต่ก็มีข้อเสียด้วยคือ อาจจะทำให้ได้รับสารที่ไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายอาจจะเกิดปัญหาได้ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เลือด
ปัจจุบัน โรงพยาบาลเรามีความต้องการเลือดสูงมาก เฉลี่ยมีรายที่จะต้องให้เลือด 2-3 รายต่อวัน แต่ผู้บริจาคมีน้อย ส่วนหนึ่งแจ้ง ความจำนงเอาไว้ แต่มีแค่ 100 รายเท่านั้น ในรายที่ต้องการใช้เลือด เราไม่มีให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเจ้าของสุนัขด้วย กรณีเร่งด่วนจริงๆ มีหลายรายเสียชีวิตไป ร.พ.เราขาดแคลนเลือดในการสำรองไว้ใช้
นายสัตวแพทย์พายุกล่าวต่อว่า ซึ่งหากมีผู้ใจบุญนำสัตว์มาบริจาคเลือดมากๆ และอยู่ในขั้นเพียงพอแล้ว เราจะได้ส่งไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการอีก เช่น ที่โรงพยาบาลสัตว์กำแพงแสน
สุนัขมีกรุ๊ปเลือด 8 กรุ๊ป คือกรุ๊ป DEA 1.1, 1.2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, กรุ๊ป DEA 8 สามารถให้เลือดได้กับทุกกรุ๊ป คุณสมบัติของสุนัขที่ สามารถบริจาคได้คือ ต้องอยู่ระหว่างอายุ 1-6 ปี ไม่จำกัดเพศ พันธุ์ (ถ้าเป็นเพศเมียต้องรอให้หมดประจำเดือนก่อน) มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 20 ก.ก. มีประวัติการทำวัคซีนครบ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจ วัคซีนรวม วัคซีนพิษสุนัขบ้า ไม่มีประวัติของโรคพยาธิในเม็ดเลือด ไม่เคยรับการผ่าตัดใหญ่ในระยะ 1-2 เดือน และต้องมีสุขภาพแข็งแรง
หากสนใจบริจาคเลือดสามารถโทร.เข้ามาที่โรงพยาบาลสัตว์เล็ก แจ้งความจำนงไว้ ทาง ร.พ.จะจดพันธุ์ เพศ และเบอร์โทร.เพื่อติดต่อ กลับ โดยเราจะมีเจ้าหน้าที่ทำการนัดหมายนำสุนัขมาบริจาคเลือดอีกครั้งหนึ่ง ในอนาคตจะจัดให้เป็นหนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์สำหรับรับบริจาคเลือด และมีแนวคิดว่าอาจจะนำรถรับบริจาคเคลื่อนที่ เพราะได้รับการร้องขอมา เหมือนกันว่าบางครั้งที่บ้านเจ้าของสุนัขเขาอาจจะมีเป็น 10 ตัว แต่ไม่ สามารถนำมาได้ บางคนก็บอกว่าเหนื่อยมากกว่าจะพามาได้ บางรายก็บอก ว่ามีเวลาไม่มากพอ
ส่วนการจะไปนำเลือดจากสุนัขจรจัดของ กทม.คิดว่าเสี่ยงเกินไป เพราะเราไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหรือไม่ มีการจัดทำวัคซีนครบหรือไม่ ซึ่งหากมีอะไรเกิดขึ้นจะมีปัญหาใหญ่ตามมา
อยากให้ท่านเจ้าของสุนัขมั่นใจว่าการบริจาคเลือดไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกายของสุนัขทั้งสิ้น ยาที่ให้เป็นยานอนหลับบริเวณลำคอที่เจาะเลือด เราโกนขนให้เล็กที่สุดในตำแหน่งเส้นเลือดเท่านั้น และทำความสะอาด อย่างดีที่สุด มีการฆ่าเชื้อเช่นเดียวกับการทำผ่าตัดเลยทีเดียว อยากเชิญชวนผู้ใจบุญนำสัตว์เลี้ยงของท่านบริจาคเลือดมากๆ เพื่อสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ที่กำลังเจ็บป่วย
20071027-072848.gif
สุนัขสัตว์เลี้ยงที่ภักดีต่อเจ้าของ คนรักสุนัขอย่านิ่งเฉย สัตวแพทย์ขอความร่วมมือช่วยกันบริจาคเลือดสุนัข ซึ่งกำลังขาดแคลนอย่างหนัก นายสัตวแพทย์ พายุ ศรีสุภร แพทย์ประจำธนาคารเลือดสัตว์ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศ กล่าวถึงที่มาของธนาคารเลือดสัตว์ว่า ก่อตั้งเป็นรูปเป็นร่างเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เดิมเรามีการถ่ายเลือดอยู่แล้ว
แต่ยังไม่มีธนาคารเลือดเพื่อบริการแก่สัตว์ที่ป่วย ทั้งจากอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน และที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคเลือด ในต่างประเทศมีมานานแล้ว จึงได้มีการสร้าง ธนาคารเลือดแห่งนี้ขึ้น ตั้งอยู่ชั้น 3 ของโรงพยาบาล
โดยธนาคารเลือดสัตว์ ขณะนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเคสเดิมๆ ขึ้นอยู่กับทางเจ้าของสุนัขด้วย ทำให้เกิดวิกฤติการขาดเลือดมาตลอด ในช่วงแรกหากสุนัขมีความต้องการเลือด ทางเจ้าของก็ต้องจัดการหาจากสุนัข เพื่อนบ้าน หรือหาจากที่อื่น ส่วนใหญ่จะเป็นเคสหนักๆ ที่ส่งต่อมาจากคลินิก หรือสถานประกอบการอื่นๆ แต่บางครั้งเราก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีเลือดให้
การเก็บเลือดจะเก็บเอาไว้ในถุงเก็บเลือดชนิดเดียวกับของคน ในการบริจาค 1 ครั้ง จะเก็บเลือดปริมาณ 1 ยูนิต หรือ 350 ซีซี ซึ่งโดยปกติความสามารถในการให้เลือดจะอยู่ระหว่าง 10-20 ซีซีต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ความถี่ในการบริจาคทุกๆ 4-6 เดือน ก่อนที่จะทำการเจาะเก็บเลือด สัตวแพทย์จะทำการวางยาซึมให้สุนัข เพื่อป้องกันสุนัขดิ้นระหว่างการเก็บเลือด เนื่องจากบริเวณที่ใช้เจาะเก็บเลือดคือบริเวณคอ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ ทำให้ได้เลือดไว ไม่ทันแข็งตัว ถ้าสุนัขดิ้นอาจจะเกิดอันตรายได้ ยาซึมนี้จะ ทำให้สุนัขมีอาการง่วงซึมเท่านั้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
นายสัตวแพทย์พายุกล่าวต่อว่า ส่วนประกอบในเลือดแบ่งได้ เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ เม็ดเลือดแดง น้ำเลือด หลังจากการเจาะเก็บเลือด เลือดที่ได้จะนำมาแยกเป็น 2 ส่วน เม็ดเลือดแดงเก็บได้นาน 28 วัน ส่วนพลาสม่าจะถูกนำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส เก็บได้นาน 5 ปี ซึ่งเม็ดเลือดแดงจะนำไปใช้ในกรณีของโรคโลหิตจาง พยาธิในเม็ดเลือดอย่างรุนแรง การเสียเลือดจากการผ่าตัด และเสียเลือดอย่าง รุนแรงจากอุบัติเหตุ ส่วนพลาสม่าจะนำไปใช้ในกรณีปัญหาการแข็งตัวของ เลือด หรือโรคเลือดบางชนิด หรือภาวะการขาดโปรตีนหรือขาดสารอาหาร และอาจนำผลิตภัณฑ์เลือดไปใช้ในกรณีพิเศษอื่นๆ
เมื่อได้เลือดมาจะนำไปผ่านเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกเลือด ปั่นด้วยความเร็วสูง 350 รอบต่อวินาที
การใช้เลือดให้กับสุนัขจะขึ้นอยู่กับหมอจะพิจารณา ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงตัวนั้นขาดอะไรก็จะให้ สิ่งนั้น ไม่ใช่ให้ทั้งหมด เพราะข้อดีของการให้เลือดคือ ช่วยชีวิตสัตว์ได้ แต่ก็มีข้อเสียด้วยคือ อาจจะทำให้ได้รับสารที่ไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายอาจจะเกิดปัญหาได้ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เลือด
ปัจจุบัน โรงพยาบาลเรามีความต้องการเลือดสูงมาก เฉลี่ยมีรายที่จะต้องให้เลือด 2-3 รายต่อวัน แต่ผู้บริจาคมีน้อย ส่วนหนึ่งแจ้ง ความจำนงเอาไว้ แต่มีแค่ 100 รายเท่านั้น ในรายที่ต้องการใช้เลือด เราไม่มีให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเจ้าของสุนัขด้วย กรณีเร่งด่วนจริงๆ มีหลายรายเสียชีวิตไป ร.พ.เราขาดแคลนเลือดในการสำรองไว้ใช้
นายสัตวแพทย์พายุกล่าวต่อว่า ซึ่งหากมีผู้ใจบุญนำสัตว์มาบริจาคเลือดมากๆ และอยู่ในขั้นเพียงพอแล้ว เราจะได้ส่งไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการอีก เช่น ที่โรงพยาบาลสัตว์กำแพงแสน
สุนัขมีกรุ๊ปเลือด 8 กรุ๊ป คือกรุ๊ป DEA 1.1, 1.2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, กรุ๊ป DEA 8 สามารถให้เลือดได้กับทุกกรุ๊ป คุณสมบัติของสุนัขที่ สามารถบริจาคได้คือ ต้องอยู่ระหว่างอายุ 1-6 ปี ไม่จำกัดเพศ พันธุ์ (ถ้าเป็นเพศเมียต้องรอให้หมดประจำเดือนก่อน) มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 20 ก.ก. มีประวัติการทำวัคซีนครบ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจ วัคซีนรวม วัคซีนพิษสุนัขบ้า ไม่มีประวัติของโรคพยาธิในเม็ดเลือด ไม่เคยรับการผ่าตัดใหญ่ในระยะ 1-2 เดือน และต้องมีสุขภาพแข็งแรง
หากสนใจบริจาคเลือดสามารถโทร.เข้ามาที่โรงพยาบาลสัตว์เล็ก แจ้งความจำนงไว้ ทาง ร.พ.จะจดพันธุ์ เพศ และเบอร์โทร.เพื่อติดต่อ กลับ โดยเราจะมีเจ้าหน้าที่ทำการนัดหมายนำสุนัขมาบริจาคเลือดอีกครั้งหนึ่ง ในอนาคตจะจัดให้เป็นหนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์สำหรับรับบริจาคเลือด และมีแนวคิดว่าอาจจะนำรถรับบริจาคเคลื่อนที่ เพราะได้รับการร้องขอมา เหมือนกันว่าบางครั้งที่บ้านเจ้าของสุนัขเขาอาจจะมีเป็น 10 ตัว แต่ไม่ สามารถนำมาได้ บางคนก็บอกว่าเหนื่อยมากกว่าจะพามาได้ บางรายก็บอก ว่ามีเวลาไม่มากพอ
ส่วนการจะไปนำเลือดจากสุนัขจรจัดของ กทม.คิดว่าเสี่ยงเกินไป เพราะเราไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหรือไม่ มีการจัดทำวัคซีนครบหรือไม่ ซึ่งหากมีอะไรเกิดขึ้นจะมีปัญหาใหญ่ตามมา
อยากให้ท่านเจ้าของสุนัขมั่นใจว่าการบริจาคเลือดไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกายของสุนัขทั้งสิ้น ยาที่ให้เป็นยานอนหลับบริเวณลำคอที่เจาะเลือด เราโกนขนให้เล็กที่สุดในตำแหน่งเส้นเลือดเท่านั้น และทำความสะอาด อย่างดีที่สุด มีการฆ่าเชื้อเช่นเดียวกับการทำผ่าตัดเลยทีเดียว อยากเชิญชวนผู้ใจบุญนำสัตว์เลี้ยงของท่านบริจาคเลือดมากๆ เพื่อสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ที่กำลังเจ็บป่วย
การแพ้วัคซีน
บทความพิเศษ:เรื่อง การแพ้วัคซีน
untitled.bmp
ปกติแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนประจำทุกๆปี ( ยกเว้นในลูกสุนัขที่เพิ่งเริ่มทำวัคซีนเป็นครั้งแรกต้องมีการกระตุ้นวัคซีน หลายครั้ง ) ซึ่งถือว่าเป็นการดูแลสัตว์เลี้ยงของท่านประจำทุกปี เว้นในรายที่ท่านเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่สนใจเท่านั้น การฉีดวัคซีนประจำปี เป็นการกระตุ้นภูมิต้านทานของสัตว์ ซึ่งย่อมต้องเกิดอาการอักเสบ สัตว์บางตัวจึงแสดงอาการซึม หรือมีอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และข้อต่อบางแห่ง หรือมีไข้อยู่ 1-2 วัน ภายหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งถือว่าเป็นปกติ และบางตัวก็ไม่แสดงอาการให้เห็น สัตว์จะกินอาหารละเล่นได้ตามปกติ แต่ในบางรายจะเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงกว่านั้น ซึ่งอาการจะเห็นได้อย่างชัดเจน อาการแพ้วัคซีน อาการแพ้ที่แสดงออกมักไม่เหมือนกันเลยทีเดียวในแต่ละตัว ข้อยู่กับการตอบสนองของสัตว์ที่มีต่อโปรตีนที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นวัคซีนเสมอไป อาจเป็นละอองเกสร , ฝุ่น , อาหาร หรือยาก็ได้ อาการแพ้ทุกชนิมักมีอาการลมพิษ , หน้าบวม , คลื้นไส้ ในรายที่รุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิต ไม่จำเป็นว่าสัตว์ต้องแสดงอาการทุกอย่างที่กล่าวมาให้เห็น อาจเกิดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการแพ้ ถ้าสัตว์แพ้เล็กน้อยก็คงไม่มีปัญหา ในรายที่แพ้รุนแรงมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เดินโซเซ ท่านเจ้าของควรรีบนำส่งสัตวแพทย์เป็นการด่วน ก่อนที่อาการจะทรุดลงไปกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้สัตว์ถึงแก่ชีวิตได้ อาการอาเจียนเป็นอาการที่แสดงว่าสัตว์อยู่ในภาวะที่อันตรายมากซึ่งบางครั้ง ท่านเจ้าของอาจนึกว่าเป็นอาการเมารถธรรมดาแต่ถ้าเกิดอาการเช่นนี้ให้รีบนำ ส่งสัตวแพทย์ แล้วเล่าอาการให้หมอฟังโดยด่วน ในกรณีที่สัตว์แพ้วัคซีน ครั้งต่อไปควรจะทำอย่างไร มีหลายขั้นตอนที่จะทำได้ หลังจากทราบว่าสัตว์ของท่านแพ้วัคซีน เช่น หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเลสโตไปโรซิส วัคซีนเลสโตไปโรซิส มักรวมอยู่ในวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัข เป็นส่วนของวัคซีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มากที่สุด เจ้าของควรบอกสัตวแพทย์ว่าไม่ต้องการให้สุนัขฉีดวัคซีนชนิดนี้ หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนรวมหลายๆโรคพร้อมกัน โดยขอให้สัตว์แพทย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแต่ละชนิดแยกกัน โดยอาจฉีดห่าง 1-2 สัปดาห์ เพื่อลดการกระตุ้นภูมิต้านทานลง เพื่อไม่ให้อาการแพ้รุนแรง และการแยกชนิดวัคซีน จะสามารถทำให้ทราบว่าสัตว์แพ้วัคซีนชนิดใด หลีกเลียงการฉีดวัคซีนเอง หรือ บุคคลที่ไม่ใช่สัตวแพทย์ฉีด แจ้งข้อมูลการแพ้วัคซีนของสัตว์เลี้ยงของท่านต่อสัตวแพทย์ทุกครั้ง ท่านเจ้าของควรจดจำชนิดวัคซีนที่สัตว์เลี้ยงแพ้ และแจ้ให้สัตวแพทย์ทราบทุกครั้งที่ไปฉีดวัคซีน อาจต้องมีการฉีดยาแก้แพ้ก่อนการฉีดวัคซีนในรายที่แพ้ทุกครั้ง การฉีดยาแก้แพ้ก่อนการฉีดวัควัคซีนเพื่อเป็นการป้องกันอาการแพ้ก่อนที่จะ เกิด และภายหลังการฉีดวัคซีนท่านเจ้าของควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงต่ออีก 1 – 2 วันหลังการฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสัตว์เลี้ยงของเจ้าของ การแพ้วัคซีนแม้จะเกิดขึ้นได้น้อย แต่บางครั้งก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าสัตว์เลี้ยง แพ้มากหรือน้อย แต่ไม่ใช่หมายความว่าท่านเจ้าของกลัวการแพ้วัคซีน จนไม่พาสัตว์เลี้ยงไปฉีด ********************************************************************** ***************
โรงพยาบาลสัตว์ เอ็น.พี. หรือ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0-2956-5276-7
untitled.bmp
ปกติแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนประจำทุกๆปี ( ยกเว้นในลูกสุนัขที่เพิ่งเริ่มทำวัคซีนเป็นครั้งแรกต้องมีการกระตุ้นวัคซีน หลายครั้ง ) ซึ่งถือว่าเป็นการดูแลสัตว์เลี้ยงของท่านประจำทุกปี เว้นในรายที่ท่านเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่สนใจเท่านั้น การฉีดวัคซีนประจำปี เป็นการกระตุ้นภูมิต้านทานของสัตว์ ซึ่งย่อมต้องเกิดอาการอักเสบ สัตว์บางตัวจึงแสดงอาการซึม หรือมีอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และข้อต่อบางแห่ง หรือมีไข้อยู่ 1-2 วัน ภายหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งถือว่าเป็นปกติ และบางตัวก็ไม่แสดงอาการให้เห็น สัตว์จะกินอาหารละเล่นได้ตามปกติ แต่ในบางรายจะเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงกว่านั้น ซึ่งอาการจะเห็นได้อย่างชัดเจน อาการแพ้วัคซีน อาการแพ้ที่แสดงออกมักไม่เหมือนกันเลยทีเดียวในแต่ละตัว ข้อยู่กับการตอบสนองของสัตว์ที่มีต่อโปรตีนที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นวัคซีนเสมอไป อาจเป็นละอองเกสร , ฝุ่น , อาหาร หรือยาก็ได้ อาการแพ้ทุกชนิมักมีอาการลมพิษ , หน้าบวม , คลื้นไส้ ในรายที่รุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิต ไม่จำเป็นว่าสัตว์ต้องแสดงอาการทุกอย่างที่กล่าวมาให้เห็น อาจเกิดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการแพ้ ถ้าสัตว์แพ้เล็กน้อยก็คงไม่มีปัญหา ในรายที่แพ้รุนแรงมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เดินโซเซ ท่านเจ้าของควรรีบนำส่งสัตวแพทย์เป็นการด่วน ก่อนที่อาการจะทรุดลงไปกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้สัตว์ถึงแก่ชีวิตได้ อาการอาเจียนเป็นอาการที่แสดงว่าสัตว์อยู่ในภาวะที่อันตรายมากซึ่งบางครั้ง ท่านเจ้าของอาจนึกว่าเป็นอาการเมารถธรรมดาแต่ถ้าเกิดอาการเช่นนี้ให้รีบนำ ส่งสัตวแพทย์ แล้วเล่าอาการให้หมอฟังโดยด่วน ในกรณีที่สัตว์แพ้วัคซีน ครั้งต่อไปควรจะทำอย่างไร มีหลายขั้นตอนที่จะทำได้ หลังจากทราบว่าสัตว์ของท่านแพ้วัคซีน เช่น หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเลสโตไปโรซิส วัคซีนเลสโตไปโรซิส มักรวมอยู่ในวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัข เป็นส่วนของวัคซีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มากที่สุด เจ้าของควรบอกสัตวแพทย์ว่าไม่ต้องการให้สุนัขฉีดวัคซีนชนิดนี้ หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนรวมหลายๆโรคพร้อมกัน โดยขอให้สัตว์แพทย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแต่ละชนิดแยกกัน โดยอาจฉีดห่าง 1-2 สัปดาห์ เพื่อลดการกระตุ้นภูมิต้านทานลง เพื่อไม่ให้อาการแพ้รุนแรง และการแยกชนิดวัคซีน จะสามารถทำให้ทราบว่าสัตว์แพ้วัคซีนชนิดใด หลีกเลียงการฉีดวัคซีนเอง หรือ บุคคลที่ไม่ใช่สัตวแพทย์ฉีด แจ้งข้อมูลการแพ้วัคซีนของสัตว์เลี้ยงของท่านต่อสัตวแพทย์ทุกครั้ง ท่านเจ้าของควรจดจำชนิดวัคซีนที่สัตว์เลี้ยงแพ้ และแจ้ให้สัตวแพทย์ทราบทุกครั้งที่ไปฉีดวัคซีน อาจต้องมีการฉีดยาแก้แพ้ก่อนการฉีดวัคซีนในรายที่แพ้ทุกครั้ง การฉีดยาแก้แพ้ก่อนการฉีดวัควัคซีนเพื่อเป็นการป้องกันอาการแพ้ก่อนที่จะ เกิด และภายหลังการฉีดวัคซีนท่านเจ้าของควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงต่ออีก 1 – 2 วันหลังการฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสัตว์เลี้ยงของเจ้าของ การแพ้วัคซีนแม้จะเกิดขึ้นได้น้อย แต่บางครั้งก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าสัตว์เลี้ยง แพ้มากหรือน้อย แต่ไม่ใช่หมายความว่าท่านเจ้าของกลัวการแพ้วัคซีน จนไม่พาสัตว์เลี้ยงไปฉีด ********************************************************************** ***************
โรงพยาบาลสัตว์ เอ็น.พี. หรือ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0-2956-5276-7
ฝีหนอง ในสุนัข
abscess หรือ ฝีหนอง
เป็นถุงหรือก้อนที่มีหนองอยู่ภายใน บางครั้งฝีอาจจะแตกและมีหนองไหลออกมา ถ้าแฝลเล็กหรือฝีเล็ก ให้ล้างแผลด้วย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แล้วทาด้วยยาใส่แผลสด มักปล่อยให้ปากแผลเปิดเพื่อให้หนองไหลออก และควรระวังไม่ให้สัตว์เลียหรือแทะแผล ถ้าจำเป็นควรใส่ปลอกคอกันเลีย
ถ้าฝียังไม่แตกให้ประคบร้อนวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที่ เพื่อให้เลือดมาเลี้ยงที่ฝีมากขึ้น เมื่อฝีสุกคือนิ่มลงให้พาไปหาหมอเพื่อเจาะหนองออกบางรายอาจต้องวางยาสลบขณะ รักษา และให้ยาปฏิชีวนะกิน
เป็นถุงหรือก้อนที่มีหนองอยู่ภายใน บางครั้งฝีอาจจะแตกและมีหนองไหลออกมา ถ้าแฝลเล็กหรือฝีเล็ก ให้ล้างแผลด้วย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แล้วทาด้วยยาใส่แผลสด มักปล่อยให้ปากแผลเปิดเพื่อให้หนองไหลออก และควรระวังไม่ให้สัตว์เลียหรือแทะแผล ถ้าจำเป็นควรใส่ปลอกคอกันเลีย
ถ้าฝียังไม่แตกให้ประคบร้อนวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที่ เพื่อให้เลือดมาเลี้ยงที่ฝีมากขึ้น เมื่อฝีสุกคือนิ่มลงให้พาไปหาหมอเพื่อเจาะหนองออกบางรายอาจต้องวางยาสลบขณะ รักษา และให้ยาปฏิชีวนะกิน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)