1. คิดว่า"ลูกสุนัขและแมว ไม่มีเชื้อพิษสุนัขบ้า"
- ความจริง : สุนัขและแมว อายุเท่าใด ก็สามารถแพร่โรคพิษสุนัขบ้าได้
2. คิดว่า "สุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าเฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น"
- ความจริง : สุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ทุกฤดูกาล
3. คิดว่า "หากลูกสุนัขหรือแมวที่มีอาการปกติกัด ก็ไม่น่าจะเป็นบ้า"
- ความจริง : สุนัขและแมวสามารถแพร่โรคได้ถึง 10 วัน ก่อนจะแสดงอาการ ดังนั้นหากลูกสุนัขหรือแมวกัด แม้สัตว์จะดูปกติก็อย่านิ่งนอนใจ ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน
4. คิดว่า "การฉีดวัคซีนในสุนัขและแมวจะป้องกันการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าได้ 100 %"
- ความจริง : หากสัตว์ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าอยู่แล้วแล้วอยู่ในระยะฟักตัว การฉีดวัคซีนจะไม่ได้ผล
5. คิดว่า "การฉีดวัคซีนสุนัขหรือแมว 1 ครั้ง จะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต"
- ความจริง : การฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว ยังมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ สุนัขและแมวต้องได้รับวัคซีน 2 ครั้งในปีแรก และ 1 เข็มต่อปี
6. คิดว่า "สุนัขและแมวที่เราเลี้ยงและเคยได้รับวัคซีนมาก่อนถูกสุนัขบ้ากัด ไม่เสี่ยงต่อการติดโรค"
- ความจริง : ถ้าจะให้มั่นใจเต็มที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำ และกักขังดูอาการอย่างน้อย 45 วัน แต่ถ้าสุนัขและแมวตัวนั้นไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน เมื่อถูกสุนัขบ้ากัด องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ทำลาย เพราะมีโอกาสติดเชื้อสูง แต่ถ้าไม่สามารถปฎิบัติตามได้ ให้ฉีดวัคซีนทันทีและกักขังดูอาการ 6 เดือน และฉีดวัคซีนซ้ำ 1 เดือนก่อนปล่อย
7. คิดว่า "มีอเฉพาะสุนัขและแมวเท่านั้นที่สามารถแพร่เชื้อพิษสุนัขบ้าสู่มนุษย์ได้"
- ความจริง : สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดก็เป็นโรคและแพร่โรคได้เช่นกัน
8. คิดว่า "การถูกกัดเท่านั้นที่สามรถทำให้ติดพิษสุนัขบ้าได้"
- ความจริง : การถูกเลียที่แผล หรือข่วนด้วยเล็บ ก็ทำให้ติดโรคและต่ยได้ เนื่องจากสุนัขและแมงเลียอุ้งเท้าและเล็บ อาจมีไวรัสจากน้ำลายติดค้างอยู่ที่เล็บ และแพร่เชื้อได้หากแผลมีเลือดออกแม้เพียงซิบ ๆ
9. คิดว่า "ถ้าถูกสุนัขกัด ให้รีบเอารองเท้าตบ ๆ หรือราดด้วยน้ำปลาจะช่วยฆ่าเชื้อได้"
- ความจริง : เมื่อถูกกัดต้องล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่ เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นพบแพทย์ทันที เพื่อล้างแผลอีกครั้งและฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาไอโอดีน
10. คิดว่า "เมื่อถูกสุนัขและแมวที่มีเชื้อกัดจะมีโอกาสรอด แม้ไม่ได้รับการรักษา"
- ความจริง : ถ้าคนถูกกัดและมีอาการจะเสียชีวิตทุกรายภายใน 5-11 วัน แต่คนที่รอด ไม่ได้หมายความว่าคาถาดี ทั้งนี้เพราะน้ำลายไม่ได้มีไวรัสตลอดเวลา ซึ่งพบได้ 30-80 เปอร์เซนต์ หรือเฉลี่ยครึ่งต่อครึ่ง
11. คิดว่า "รอให้สุนัข แมว ที่กัดแสดงอาการหรือตายก่อน จึงค่อยพาคนที่ถูกกัดไปพบแพทย์"
- ความจริง : การฉีดยาป้องกันที่ได้ผลสูงสุด อยู่ในช่วง 48 ชั่วโมงหลังถูกกัด และถ้าแผลมีเลือกออก ไม่ว่าตำแหน่งใดของร่างกายต้องได้เซรุ่ม(อินมูโน โกลบูลิน) ชนิดสกัดบริสุทธิ์ ฉีดบริสุทธ์ ฉีดที่แผล
12. คิดว่า "การกัดคน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถูกแหย่เป็นเครื่องแสดงว่าสุนัขหรือแมวนั้น ๆ เป็นบ้า"
- ความจริง : สุนัขและแมวที่เป็นบ้า กัดคนโดยที่แหย่หรือไม่ได้แหย่ก็ได้ เมื่อถูกกัดต้องไปรับการรักษาเช่นกัน
Credit by Dogazine ฉบับที่ 76 ประจำเดือนเมษายน 2553
ระวังหน่อยนะครับ
ตอบลบ