ตั้งแต่แวบแรกที่คิดจะเลี้ยงน้องหมา คุณต้องทำใจแล้วว่า นอกจากการเรียนรู้ทักษะด้านวิชาชีพ และทักษะการใช้ชีวิตให้มีความสุขในสังคมแล้ว คุณยังจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะด้านการสื่อสารระหว่างคนกับสัตว์ด้วยการ พยายามทำความเข้าใจถึง พฤติกรรมตามธรรมชาติของเขา เริ่มสังเกตุอาการตั้งแต่วันแรกที่พ แล้ววิเคราะห์ว่าสิ่งใดที่ควรส่งเสริม และสิ่งใดที่ควรเร่งปรับพฤติกรรม
ปัจจุบันนี้น้องหมาหลาย ๆ บ้าน อยู่กันอย่างสุขสบาย ด้วยเพราะสภาพแวดล้อมที่เอื้อพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หลายครอบครัวดูแลน้องหมาเหมือนเป็นสมาชิกคนสำคัญของครอบครัวเลี้ยงเป็นลูก อุ้มเป็นหลาน ฝึกให้เป็น พี่ชายพี่สาวของเด็กจริง ๆ แล้วเนื่องจากที่น้องหมาเป็นสัตว์ที่มีความสามารถในหารเรียนรู้และจดจำได้ ดี เขาจึงเข้ากับเด็กและสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้ง่ายดายเป็นธรรมชาติ นักจิตวิทยาหลายท่านจึงกล่าวว่า น้องหมานคล้ายกับเด็กที่ต้อง การความรัก ความอบอุ่น ต้องการเป็นที่ยอมรับ และอยากเป็นส่วนสำคัญเสมอ น้องหมาพยายามเรียยนรู้ถึงความต้องการของคนและปรารถนาจะให้คนได้รู้ถึงความ ต้องการของตัวเองบ้าง โดยการแสดงออกทางพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การ เห่า การคราง ความขี้เล่น การแสดงความอยากรู้อยากเห็นด้วยการวิ่งนำ ดมกลิ่น หรือตื่นตัวตลอดเวลา ทั้งนี้การฝึกให้น้องหมาเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับสภาพการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม และปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ความพร้อมทั้งผู้เลี้ยงและน้องหมา ระยะเวลาในการฝึกฝน หรือสมรรถภาพการทำงานของสมองของเขาด้วย
อีกหนึ่งพฤติกรรมที่น้องหมามั่นใจว่าเป็นการแสดงออกถึงความภัคดีกับคนคือ การเข้ามาเลียหน้าเลียตา เพราะเขาเรียนรู้ว่าการแสดงออกถึงความรักต้องทำในลักษณะนี้ น้องหมาบางตัวนอกจากจู่ ๆ จะเข้ามาเลียหน้าเลียตาแล้ว ยัง ฉลาดพอที่จะลดช่องว่างระหว่างสองเรา ด้วยการกระโจนโผเข้าหาก่อนด้วยซ้ำ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวอาจสร้างความขุ่นมัวให้ผู้เลี้ยงบางครอบครัว เพราะมองว่าทำให้เนื้อตัวและเสื้อ้าสกปรกมอมแมม บ้างก็ลงโทษด้วยการดุเสียงดัง หรือไม่ ก็จัดการจับน้องหมาปิดประตูห้องตีกันเลยที่เดียว ทั้ง ๆ ที่น้องหมาเข้าใจว่าพฤติกรรมที่เขาทำลงไปนี้ เป็นการแสดงออกอย่างสุภาพ อ่อนโยน และพยายามจะสื่อให้เจ้าของรับรู้ถึงความรักอย่างเต็มหัวใจ
ตรงกันข้าม หากที่บ้านมีสมาชิกน้องหมาหลายตัว บางตัวร่าเริง บางตัวเซื่องซึม และไม่กระตือรือร้นเวลาพบหน้าเรา ปล่อยให้น้องหมาตัวอื่นเข้ามาประจบประแจงแทนที่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากได้รับการกอดจากคุณ เพียงแต่เขาไม่มี โอกาสที่จะเข้าไปใกล้ชิดคุณได้เร็วเท่ากับน้องหมาตัวอื่น ๆ ด่างหาก และวเมื่อลับหลัง ความอิจฉาที่อยู่ในจิตใต้สำนึกอาจทำให้น้องหมาที่เซื่อมซึมตัวเดิมกลายเป็น เจ้าหมาร้ายกาจตัวใหม่ที่พร้อมจะลุกขึ้นมากัดน้องหมาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในรั้วเดียวกันได้
หากผู้เลี้ยงไม่มีความอดทนต่อพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเขา หรือปล่อยเลยตามเลยแทนที่น้องหมาจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่กลับเป็นการตอกย้ำพฤติกรรมดังกล่าวให้ฝังรากลึกทำให้โอกาสในการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมที่ตามมาใน อนาคตมีโอกาสสำเร็จยากมากขึ้น ที่สำคัญต้องหมั่นเอาใจเขามาใส่ใจเรา วิเคราะห์ให้เป็นว่าสิ่งที่น้องหมาแสดงออก เขาต้องการจะสื่ออะไรหรือเขาปรารถนาอะไรในตัวเรา อย่าให้ทิฐิและความไม่อดทนมาเป็นอุปสรรคมรการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะหากพลาดแล้ว เราคงย้อนเวลากลับไปเริ่มใหม่ไม่ได้ คุณ อาจมานั่งเสียใจว่าตั้งแต่วันแรกที่พบเจอ จนถึงวันสุดท้ายที่ต้องจากกัน คุณกับน้องหมาตัวน้อย...เราทั้งคู่ยังไม่เคยแสดงคสามรักต่อกัน และที่สำคัญเราไม่เคยเข้าใจกันเลย
Credit by Dogazine ฉบับที่ 76 ประจำเดือนเมษายน 2553
วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า
1. คิดว่า"ลูกสุนัขและแมว ไม่มีเชื้อพิษสุนัขบ้า"
- ความจริง : สุนัขและแมว อายุเท่าใด ก็สามารถแพร่โรคพิษสุนัขบ้าได้
2. คิดว่า "สุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าเฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น"
- ความจริง : สุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ทุกฤดูกาล
3. คิดว่า "หากลูกสุนัขหรือแมวที่มีอาการปกติกัด ก็ไม่น่าจะเป็นบ้า"
- ความจริง : สุนัขและแมวสามารถแพร่โรคได้ถึง 10 วัน ก่อนจะแสดงอาการ ดังนั้นหากลูกสุนัขหรือแมวกัด แม้สัตว์จะดูปกติก็อย่านิ่งนอนใจ ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน
4. คิดว่า "การฉีดวัคซีนในสุนัขและแมวจะป้องกันการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าได้ 100 %"
- ความจริง : หากสัตว์ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าอยู่แล้วแล้วอยู่ในระยะฟักตัว การฉีดวัคซีนจะไม่ได้ผล
5. คิดว่า "การฉีดวัคซีนสุนัขหรือแมว 1 ครั้ง จะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต"
- ความจริง : การฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว ยังมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ สุนัขและแมวต้องได้รับวัคซีน 2 ครั้งในปีแรก และ 1 เข็มต่อปี
6. คิดว่า "สุนัขและแมวที่เราเลี้ยงและเคยได้รับวัคซีนมาก่อนถูกสุนัขบ้ากัด ไม่เสี่ยงต่อการติดโรค"
- ความจริง : ถ้าจะให้มั่นใจเต็มที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำ และกักขังดูอาการอย่างน้อย 45 วัน แต่ถ้าสุนัขและแมวตัวนั้นไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน เมื่อถูกสุนัขบ้ากัด องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ทำลาย เพราะมีโอกาสติดเชื้อสูง แต่ถ้าไม่สามารถปฎิบัติตามได้ ให้ฉีดวัคซีนทันทีและกักขังดูอาการ 6 เดือน และฉีดวัคซีนซ้ำ 1 เดือนก่อนปล่อย
7. คิดว่า "มีอเฉพาะสุนัขและแมวเท่านั้นที่สามารถแพร่เชื้อพิษสุนัขบ้าสู่มนุษย์ได้"
- ความจริง : สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดก็เป็นโรคและแพร่โรคได้เช่นกัน
8. คิดว่า "การถูกกัดเท่านั้นที่สามรถทำให้ติดพิษสุนัขบ้าได้"
- ความจริง : การถูกเลียที่แผล หรือข่วนด้วยเล็บ ก็ทำให้ติดโรคและต่ยได้ เนื่องจากสุนัขและแมงเลียอุ้งเท้าและเล็บ อาจมีไวรัสจากน้ำลายติดค้างอยู่ที่เล็บ และแพร่เชื้อได้หากแผลมีเลือดออกแม้เพียงซิบ ๆ
9. คิดว่า "ถ้าถูกสุนัขกัด ให้รีบเอารองเท้าตบ ๆ หรือราดด้วยน้ำปลาจะช่วยฆ่าเชื้อได้"
- ความจริง : เมื่อถูกกัดต้องล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่ เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นพบแพทย์ทันที เพื่อล้างแผลอีกครั้งและฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาไอโอดีน
10. คิดว่า "เมื่อถูกสุนัขและแมวที่มีเชื้อกัดจะมีโอกาสรอด แม้ไม่ได้รับการรักษา"
- ความจริง : ถ้าคนถูกกัดและมีอาการจะเสียชีวิตทุกรายภายใน 5-11 วัน แต่คนที่รอด ไม่ได้หมายความว่าคาถาดี ทั้งนี้เพราะน้ำลายไม่ได้มีไวรัสตลอดเวลา ซึ่งพบได้ 30-80 เปอร์เซนต์ หรือเฉลี่ยครึ่งต่อครึ่ง
11. คิดว่า "รอให้สุนัข แมว ที่กัดแสดงอาการหรือตายก่อน จึงค่อยพาคนที่ถูกกัดไปพบแพทย์"
- ความจริง : การฉีดยาป้องกันที่ได้ผลสูงสุด อยู่ในช่วง 48 ชั่วโมงหลังถูกกัด และถ้าแผลมีเลือกออก ไม่ว่าตำแหน่งใดของร่างกายต้องได้เซรุ่ม(อินมูโน โกลบูลิน) ชนิดสกัดบริสุทธิ์ ฉีดบริสุทธ์ ฉีดที่แผล
12. คิดว่า "การกัดคน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถูกแหย่เป็นเครื่องแสดงว่าสุนัขหรือแมวนั้น ๆ เป็นบ้า"
- ความจริง : สุนัขและแมวที่เป็นบ้า กัดคนโดยที่แหย่หรือไม่ได้แหย่ก็ได้ เมื่อถูกกัดต้องไปรับการรักษาเช่นกัน
Credit by Dogazine ฉบับที่ 76 ประจำเดือนเมษายน 2553
- ความจริง : สุนัขและแมว อายุเท่าใด ก็สามารถแพร่โรคพิษสุนัขบ้าได้
2. คิดว่า "สุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าเฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น"
- ความจริง : สุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ทุกฤดูกาล
3. คิดว่า "หากลูกสุนัขหรือแมวที่มีอาการปกติกัด ก็ไม่น่าจะเป็นบ้า"
- ความจริง : สุนัขและแมวสามารถแพร่โรคได้ถึง 10 วัน ก่อนจะแสดงอาการ ดังนั้นหากลูกสุนัขหรือแมวกัด แม้สัตว์จะดูปกติก็อย่านิ่งนอนใจ ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน
4. คิดว่า "การฉีดวัคซีนในสุนัขและแมวจะป้องกันการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าได้ 100 %"
- ความจริง : หากสัตว์ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าอยู่แล้วแล้วอยู่ในระยะฟักตัว การฉีดวัคซีนจะไม่ได้ผล
5. คิดว่า "การฉีดวัคซีนสุนัขหรือแมว 1 ครั้ง จะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต"
- ความจริง : การฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว ยังมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ สุนัขและแมวต้องได้รับวัคซีน 2 ครั้งในปีแรก และ 1 เข็มต่อปี
6. คิดว่า "สุนัขและแมวที่เราเลี้ยงและเคยได้รับวัคซีนมาก่อนถูกสุนัขบ้ากัด ไม่เสี่ยงต่อการติดโรค"
- ความจริง : ถ้าจะให้มั่นใจเต็มที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำ และกักขังดูอาการอย่างน้อย 45 วัน แต่ถ้าสุนัขและแมวตัวนั้นไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน เมื่อถูกสุนัขบ้ากัด องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ทำลาย เพราะมีโอกาสติดเชื้อสูง แต่ถ้าไม่สามารถปฎิบัติตามได้ ให้ฉีดวัคซีนทันทีและกักขังดูอาการ 6 เดือน และฉีดวัคซีนซ้ำ 1 เดือนก่อนปล่อย
7. คิดว่า "มีอเฉพาะสุนัขและแมวเท่านั้นที่สามารถแพร่เชื้อพิษสุนัขบ้าสู่มนุษย์ได้"
- ความจริง : สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดก็เป็นโรคและแพร่โรคได้เช่นกัน
8. คิดว่า "การถูกกัดเท่านั้นที่สามรถทำให้ติดพิษสุนัขบ้าได้"
- ความจริง : การถูกเลียที่แผล หรือข่วนด้วยเล็บ ก็ทำให้ติดโรคและต่ยได้ เนื่องจากสุนัขและแมงเลียอุ้งเท้าและเล็บ อาจมีไวรัสจากน้ำลายติดค้างอยู่ที่เล็บ และแพร่เชื้อได้หากแผลมีเลือดออกแม้เพียงซิบ ๆ
9. คิดว่า "ถ้าถูกสุนัขกัด ให้รีบเอารองเท้าตบ ๆ หรือราดด้วยน้ำปลาจะช่วยฆ่าเชื้อได้"
- ความจริง : เมื่อถูกกัดต้องล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่ เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นพบแพทย์ทันที เพื่อล้างแผลอีกครั้งและฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาไอโอดีน
10. คิดว่า "เมื่อถูกสุนัขและแมวที่มีเชื้อกัดจะมีโอกาสรอด แม้ไม่ได้รับการรักษา"
- ความจริง : ถ้าคนถูกกัดและมีอาการจะเสียชีวิตทุกรายภายใน 5-11 วัน แต่คนที่รอด ไม่ได้หมายความว่าคาถาดี ทั้งนี้เพราะน้ำลายไม่ได้มีไวรัสตลอดเวลา ซึ่งพบได้ 30-80 เปอร์เซนต์ หรือเฉลี่ยครึ่งต่อครึ่ง
11. คิดว่า "รอให้สุนัข แมว ที่กัดแสดงอาการหรือตายก่อน จึงค่อยพาคนที่ถูกกัดไปพบแพทย์"
- ความจริง : การฉีดยาป้องกันที่ได้ผลสูงสุด อยู่ในช่วง 48 ชั่วโมงหลังถูกกัด และถ้าแผลมีเลือกออก ไม่ว่าตำแหน่งใดของร่างกายต้องได้เซรุ่ม(อินมูโน โกลบูลิน) ชนิดสกัดบริสุทธิ์ ฉีดบริสุทธ์ ฉีดที่แผล
12. คิดว่า "การกัดคน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถูกแหย่เป็นเครื่องแสดงว่าสุนัขหรือแมวนั้น ๆ เป็นบ้า"
- ความจริง : สุนัขและแมวที่เป็นบ้า กัดคนโดยที่แหย่หรือไม่ได้แหย่ก็ได้ เมื่อถูกกัดต้องไปรับการรักษาเช่นกัน
Credit by Dogazine ฉบับที่ 76 ประจำเดือนเมษายน 2553
อยากรู้ไหม คุณเป็นผู้ปกครองแบบไหนในสายตาน้องตูบ?
1. คุณชอบใช้เวลาว่างทำกิจกรรมใดร่วมกับน้องตูบ
A. อาบน้ำ แปรงขน ให้น้องตูบสวยกริ๊บ
B. พาน้องตูบออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ
C. มีความสุขกับการได้จับน้องตูบแต่งตัวให้ดูดีในแบบของคุณ
2. วันนี้คุณเกิดอาการหงุดหงิดจากนอกบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้ามาสิ่งแรกที่คุณอยากให้น้องตูบทำคือ
A. ช่วยมาออดอ้อน คลอเคลียฉันหน่อยสิ
B. เฝ้ามองดูฉันอยู่ใกล้ ๆ ก็พอ
C. ออกไปให้ห่างเลย เพราะฉันกำลังอารมณ์บ่จอย
3. คุณพาน้องตูบออกไปท่องเที่ยวด้วยบ่อยแค่ไหน
A. พาไปด้วยทุกที่ที่ฉันไป
B. เคย แต่ไม่บ่อย
C. ไม่เคย
4. หากน้องตูบส่งเสียงเห่า เอะอะ โวยวาย อย่างไม่มีเหตุผลคุณจะ
A. อุ้มเข้ามากอดแล้วค่อย ๆ ปลอบให้หยุด
B. ทำเสียงดัง ๆ เข้าไว้ เพื่อขู่ให้น้องตูบหยุดเห่า
C. ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ อย่างนี้ต้องลงโทษสักหน่อยแล้ว
5. วันนี้คุณเหนื่อยมาก ต้องการพักผ่อนเป็นที่สุด แต่จู่ ๆ เจ้าตูบเกิดคึกคักอยากเล่นขึ้นมาคุณจะ
A. ตอบโต้หยอกล้อกลับ เพื่อไม่ให้น้องตูบน้อยใจ
B. จับน้องตูปบไปขังในกรง เพื่อให้หยุดกวนก่อน
C. ออดอาการหงุดหงิด ทำโทษเพื่อให้น้องตูบหยุดเล่น
6. คุณให้น้องตูบนอนในบริเวณใดของบ้าน
A. ทั้งรักทั้งหลงแบบนี้ ก็ต้องนอนเตียงเดียวกันสิ
B. ให้นอนในบริเวณบ้าน
C. เป็นน้องตูบก็ต้องไปนอนเป็นยามหน้าบ้านสิ
7. เมื่อน้องตูบเบื่ออาหาร ปล่อยให้อาหารเหลือเต็มชามทุกครั้งที่คุณวางไว้ให้ คุณจะมีวิธีจัดการอย่างไร
A. รีบหาสาเหตุ และเปลี่ยนเป็นอาหารที่ถูกปากให้น้องตูบทันที
B. ทำโทษด้วยการนำอาหารไปเก็บและนำกลับมาวางใหม่จนกว่าน้องตูบจะยอมกิน
C. ไม่นำอาหารกลับมาวางให้น้องตูบอีกเลยจนกว่าน้องตูบจะร้องขอ
คำเฉลย
ตอบ A (มากที่สุด)
คุณเป็นผู้ปกครองที่สุดแสนจะใจดีในสายตาของน้องตูบเลยทีเดียว ต่อให้น้องตูบดื้อและซนแค่ไหน คุณก็พร้อมที่จะรับมือด้วยความเต็มใจอย่างไม่มีข้อแม้ แต่การเป็นคนในแบบกลุ่ม A ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่คุณไม่สามารถฝึกให้น้องตูบอยู่ภายใต้กฎ ระเบียบได้โดยง่าย ซึ่งสาเหตุก็มาจากความใจอ่อนของคุณเองทางที่ดีถ้าไม่อยากเลี้ยงน้องตูบ ให้(เสียหมา) คุณควรใจแข็งให้มากกว่านี้อีนิด รับรองว่าคุณจะเหนื่อยน้อยลงกับนิสัยเอาแต่ใจของน้องตูบอย่างแน่นอน
ตอบ B (มากที่สุด)
คุณเป็นสุดยอดผู้ปกครองของน้องตูบ ที่มีเหตุผล เรียกได้ว่าไม่ตึง ไม่หย่อน และที่สำคัญคุณสามารถควบคุมนำพาให้น้องตูบให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบได้ โดยที่น้องตูบไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรืออึดอัด และพร้อมที่จะฟังคำสั่งคุณอย่างง่ายดาย (เหมือนลูกหมาในกำมือ) คนในกลุ่ม B เลี้ยงน้องตูบโดยใช้เหตุผลและหัวใจควบคู่กันไป
ตอบ C (มากที่สุด)
คุณเป็นผู้ปกครองที่แลดูดุดันในสายตาของน้องตูบ บางครั้งแค่น้องตูบเห็นหน้าคุณ ก็อาจเกิดอาการ(หางจุกก้น)เอาดื้อ ๆ ถึงขนาดไม่กล้าเข้าใกล้คุณเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วข้อดีของคนกลุ่ม C คือ สามารถควบคุมน้องตูบจอมดื้อ และจัดระเบียบสังคมให้น้องตูบได้อยู่หมัดและเด็ดขาดเลยทีเดียว แต่หากคุณลองมองที่หัวใจของเขาจะรู้ว่าน้องตูบก็ต้องการ การเอาใจ และสายตาที่อ่อนโยน หากคุณลดความแข็งกร้าว และใช้เหตุผลบวกความใจเย็นลงอีกสักนิด รับรองว่าน้องตูบจะวิ่งเข้ามาคลอเคลียคุณ แทนการหลบเลี่ยงอย่างแน่นอน
A. อาบน้ำ แปรงขน ให้น้องตูบสวยกริ๊บ
B. พาน้องตูบออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ
C. มีความสุขกับการได้จับน้องตูบแต่งตัวให้ดูดีในแบบของคุณ
2. วันนี้คุณเกิดอาการหงุดหงิดจากนอกบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้ามาสิ่งแรกที่คุณอยากให้น้องตูบทำคือ
A. ช่วยมาออดอ้อน คลอเคลียฉันหน่อยสิ
B. เฝ้ามองดูฉันอยู่ใกล้ ๆ ก็พอ
C. ออกไปให้ห่างเลย เพราะฉันกำลังอารมณ์บ่จอย
3. คุณพาน้องตูบออกไปท่องเที่ยวด้วยบ่อยแค่ไหน
A. พาไปด้วยทุกที่ที่ฉันไป
B. เคย แต่ไม่บ่อย
C. ไม่เคย
4. หากน้องตูบส่งเสียงเห่า เอะอะ โวยวาย อย่างไม่มีเหตุผลคุณจะ
A. อุ้มเข้ามากอดแล้วค่อย ๆ ปลอบให้หยุด
B. ทำเสียงดัง ๆ เข้าไว้ เพื่อขู่ให้น้องตูบหยุดเห่า
C. ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ อย่างนี้ต้องลงโทษสักหน่อยแล้ว
5. วันนี้คุณเหนื่อยมาก ต้องการพักผ่อนเป็นที่สุด แต่จู่ ๆ เจ้าตูบเกิดคึกคักอยากเล่นขึ้นมาคุณจะ
A. ตอบโต้หยอกล้อกลับ เพื่อไม่ให้น้องตูบน้อยใจ
B. จับน้องตูปบไปขังในกรง เพื่อให้หยุดกวนก่อน
C. ออดอาการหงุดหงิด ทำโทษเพื่อให้น้องตูบหยุดเล่น
6. คุณให้น้องตูบนอนในบริเวณใดของบ้าน
A. ทั้งรักทั้งหลงแบบนี้ ก็ต้องนอนเตียงเดียวกันสิ
B. ให้นอนในบริเวณบ้าน
C. เป็นน้องตูบก็ต้องไปนอนเป็นยามหน้าบ้านสิ
7. เมื่อน้องตูบเบื่ออาหาร ปล่อยให้อาหารเหลือเต็มชามทุกครั้งที่คุณวางไว้ให้ คุณจะมีวิธีจัดการอย่างไร
A. รีบหาสาเหตุ และเปลี่ยนเป็นอาหารที่ถูกปากให้น้องตูบทันที
B. ทำโทษด้วยการนำอาหารไปเก็บและนำกลับมาวางใหม่จนกว่าน้องตูบจะยอมกิน
C. ไม่นำอาหารกลับมาวางให้น้องตูบอีกเลยจนกว่าน้องตูบจะร้องขอ
คำเฉลย
ตอบ A (มากที่สุด)
คุณเป็นผู้ปกครองที่สุดแสนจะใจดีในสายตาของน้องตูบเลยทีเดียว ต่อให้น้องตูบดื้อและซนแค่ไหน คุณก็พร้อมที่จะรับมือด้วยความเต็มใจอย่างไม่มีข้อแม้ แต่การเป็นคนในแบบกลุ่ม A ก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่คุณไม่สามารถฝึกให้น้องตูบอยู่ภายใต้กฎ ระเบียบได้โดยง่าย ซึ่งสาเหตุก็มาจากความใจอ่อนของคุณเองทางที่ดีถ้าไม่อยากเลี้ยงน้องตูบ ให้(เสียหมา) คุณควรใจแข็งให้มากกว่านี้อีนิด รับรองว่าคุณจะเหนื่อยน้อยลงกับนิสัยเอาแต่ใจของน้องตูบอย่างแน่นอน
ตอบ B (มากที่สุด)
คุณเป็นสุดยอดผู้ปกครองของน้องตูบ ที่มีเหตุผล เรียกได้ว่าไม่ตึง ไม่หย่อน และที่สำคัญคุณสามารถควบคุมนำพาให้น้องตูบให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบได้ โดยที่น้องตูบไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรืออึดอัด และพร้อมที่จะฟังคำสั่งคุณอย่างง่ายดาย (เหมือนลูกหมาในกำมือ) คนในกลุ่ม B เลี้ยงน้องตูบโดยใช้เหตุผลและหัวใจควบคู่กันไป
ตอบ C (มากที่สุด)
คุณเป็นผู้ปกครองที่แลดูดุดันในสายตาของน้องตูบ บางครั้งแค่น้องตูบเห็นหน้าคุณ ก็อาจเกิดอาการ(หางจุกก้น)เอาดื้อ ๆ ถึงขนาดไม่กล้าเข้าใกล้คุณเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วข้อดีของคนกลุ่ม C คือ สามารถควบคุมน้องตูบจอมดื้อ และจัดระเบียบสังคมให้น้องตูบได้อยู่หมัดและเด็ดขาดเลยทีเดียว แต่หากคุณลองมองที่หัวใจของเขาจะรู้ว่าน้องตูบก็ต้องการ การเอาใจ และสายตาที่อ่อนโยน หากคุณลดความแข็งกร้าว และใช้เหตุผลบวกความใจเย็นลงอีกสักนิด รับรองว่าน้องตูบจะวิ่งเข้ามาคลอเคลียคุณ แทนการหลบเลี่ยงอย่างแน่นอน
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อาหารอันตราย สำหรับ สุนัข
อาหารอันตราย สำหรับ สุนัข
Chocolate ( Deadly )
เนื่องจากมีส่วนประกอบของ Theobromine ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำ ให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง อาจทำให้หัวใจวายได้ และเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ชอคโกแลตยิ่งดำ ยิ่งอันตราย ( เพราะสารพิษส่วนใหญ่มันอยู่ในโกโก้ milk chocolate มีสารพิษน้อยกว่า ) อาการของสุนัขคือ ฉี่บ่อย ท้องร่วง หัวใจเต้นแรง รุกรน ไม่อยู่นิ่ง กล้ามเนื้อเกร็ง สั่น จนถึงอาการโคม่า
Bones ( Dangerous to deadly )
เป็นอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็น อย่างสุกหรืออย่างดิบ กระดูกของเล่นที่ทำสำหรับเป็นของเล่น สามารถที่จะ แตกย่อย สลาย ไม่มีคมเวลากลืนลงไป แต่กระดูกจริง ๆ ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชิ้น ๆ เป็นอันตราย อาจทิ่มตำในช่องปาก รวมถึงระบบย่อยอาหาร ถ้าไปทำปัญหาให้ กับระบบทางเดินหายใจ จะหายใจไม่ออก อาจเสียชีวิตทันที พาไปพบหมอทันทีหากสังเกต เห็น มีอาการพยายามเอาอะไรออกจากปาก หายใจติดขัด หอบ พยายามจะอาเจียน ไอ
Liver ( Dangerous )
เนื่องจากตับมีไวตามิน A มาก มีประโยชน์ต่อสุนัข แต่ถ้าได้ รับในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องกระดูก ถ้าสุนัขได้รับไวตามิน A จาก อาหารเสริม ( supplements ) เพียงพอตามกำหนดแล้ว ไม่ควรให้ตับเพิ่มอีก
Raw meat and Pautry ( Deadly to dangerous )
เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก เป็ด ไก่ ที่ ยังไม่ได้ทำให้สุก มีแบคทีเรียที่ทำอันตรายถึงตายได้ จะมีอาการเป็นไข้ อ่อน เพลีย ติดต่อถึงสัตว์อื่นและคนได้
Raw eggs ( Dangerous )
ถึงแม้ไข่จะมีประโยชน์ทำให้ร่างกายสุนัขแข็งแรง แต่ให้ ระวังการให้ไข่ดิบ เนื่องจากในไข่ดิบมีแบคทีเรียบางตัวที่เป็นสาเหตุให้ขนร่วง อ่อนแอ โตช้า และมีปัญหากระดูก
Onion ( Dangerous )
หัวหอม มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้มีการนำ oxygen เข้าสู่ร่างกายสุนัขได้น้อยลง ไม่พอต่อความต้องการ ถึงแม้สุนัขจะได้กินเพียงแค่ 2 ชิ้นต่อ 1 อาทิตย์ ก็เป็นปริมาณเพียงพอที่จะทำให้สุนัขมีอาการ อ่อนแอ เพลีย น้ำหนักลด ซึม หัวใจเต้นเร็ว ( เรียกอาการที่เกิดจากกินหัวหอมว่า Heinz body hemolytic anemia
Milk ( Disagreeable )
ไม่ทุกตัวที่มีปัญหา ในนมจะมี Lactose ที่ในสุนัขบางตัว ไม่มีเอ็นไซม์ที่ช่วยย่อยได้ ถ้าสุนัขกินนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ไอศครีม โย เกิรต แล้วมีอาการท้องเสีย ,ขาดน้ำ , ระคายเคืองผิวหนัง ก็แสดงว่าสุนัขตัวนั้น ไม่มีเอ็นไซม์ช่วยย่อย จึงควรหยุดให้นมทันที
Pork ( Disagreeable )
เนื้อหมูส่วนใหญ่มีส่วนที่เป็นไขมันเยอะ ถ้าให้สุนัขกิน มากเกินไปอาจทำให้ไขมันไปอุดตันในเส้นเลือด ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู โดยเฉพาเบคอน นอกจากจะมีไขมันเยอะแล้ว ยังมีสารโซเดียมไนเตรท อีกด้วย
Mushroom ( Disagreeable to Deadly )
เห็ดที่คนกินได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุนัข แต่ว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ ควรไม่ให้สุนัขกิน เพราะถ้าสุนัขเคยชินกับรสชาด และ กลิ่นของเห็ด เมื่อสุนัขออกไปเจอเห็ดมีพิษที่ขึ้นตามสนามหญ้า หรือสวนสาธารณะ ได้กลิ่นเห็ดที่คุ้นเคย อาจทำให้สุนัขกินเห็ดมีพิษได้
อ้างอิง จาก .. http://www.mylovegolden.net/board/viewtopic.php?t=950
ที่มา http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/blog-post_5636.html
Chocolate ( Deadly )
เนื่องจากมีส่วนประกอบของ Theobromine ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำ ให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง อาจทำให้หัวใจวายได้ และเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ชอคโกแลตยิ่งดำ ยิ่งอันตราย ( เพราะสารพิษส่วนใหญ่มันอยู่ในโกโก้ milk chocolate มีสารพิษน้อยกว่า ) อาการของสุนัขคือ ฉี่บ่อย ท้องร่วง หัวใจเต้นแรง รุกรน ไม่อยู่นิ่ง กล้ามเนื้อเกร็ง สั่น จนถึงอาการโคม่า
Bones ( Dangerous to deadly )
เป็นอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็น อย่างสุกหรืออย่างดิบ กระดูกของเล่นที่ทำสำหรับเป็นของเล่น สามารถที่จะ แตกย่อย สลาย ไม่มีคมเวลากลืนลงไป แต่กระดูกจริง ๆ ของสัตว์ต่าง ๆ เป็นจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชิ้น ๆ เป็นอันตราย อาจทิ่มตำในช่องปาก รวมถึงระบบย่อยอาหาร ถ้าไปทำปัญหาให้ กับระบบทางเดินหายใจ จะหายใจไม่ออก อาจเสียชีวิตทันที พาไปพบหมอทันทีหากสังเกต เห็น มีอาการพยายามเอาอะไรออกจากปาก หายใจติดขัด หอบ พยายามจะอาเจียน ไอ
Liver ( Dangerous )
เนื่องจากตับมีไวตามิน A มาก มีประโยชน์ต่อสุนัข แต่ถ้าได้ รับในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องกระดูก ถ้าสุนัขได้รับไวตามิน A จาก อาหารเสริม ( supplements ) เพียงพอตามกำหนดแล้ว ไม่ควรให้ตับเพิ่มอีก
Raw meat and Pautry ( Deadly to dangerous )
เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก เป็ด ไก่ ที่ ยังไม่ได้ทำให้สุก มีแบคทีเรียที่ทำอันตรายถึงตายได้ จะมีอาการเป็นไข้ อ่อน เพลีย ติดต่อถึงสัตว์อื่นและคนได้
Raw eggs ( Dangerous )
ถึงแม้ไข่จะมีประโยชน์ทำให้ร่างกายสุนัขแข็งแรง แต่ให้ ระวังการให้ไข่ดิบ เนื่องจากในไข่ดิบมีแบคทีเรียบางตัวที่เป็นสาเหตุให้ขนร่วง อ่อนแอ โตช้า และมีปัญหากระดูก
Onion ( Dangerous )
หัวหอม มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้มีการนำ oxygen เข้าสู่ร่างกายสุนัขได้น้อยลง ไม่พอต่อความต้องการ ถึงแม้สุนัขจะได้กินเพียงแค่ 2 ชิ้นต่อ 1 อาทิตย์ ก็เป็นปริมาณเพียงพอที่จะทำให้สุนัขมีอาการ อ่อนแอ เพลีย น้ำหนักลด ซึม หัวใจเต้นเร็ว ( เรียกอาการที่เกิดจากกินหัวหอมว่า Heinz body hemolytic anemia
Milk ( Disagreeable )
ไม่ทุกตัวที่มีปัญหา ในนมจะมี Lactose ที่ในสุนัขบางตัว ไม่มีเอ็นไซม์ที่ช่วยย่อยได้ ถ้าสุนัขกินนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ไอศครีม โย เกิรต แล้วมีอาการท้องเสีย ,ขาดน้ำ , ระคายเคืองผิวหนัง ก็แสดงว่าสุนัขตัวนั้น ไม่มีเอ็นไซม์ช่วยย่อย จึงควรหยุดให้นมทันที
Pork ( Disagreeable )
เนื้อหมูส่วนใหญ่มีส่วนที่เป็นไขมันเยอะ ถ้าให้สุนัขกิน มากเกินไปอาจทำให้ไขมันไปอุดตันในเส้นเลือด ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู โดยเฉพาเบคอน นอกจากจะมีไขมันเยอะแล้ว ยังมีสารโซเดียมไนเตรท อีกด้วย
Mushroom ( Disagreeable to Deadly )
เห็ดที่คนกินได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสุนัข แต่ว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ ควรไม่ให้สุนัขกิน เพราะถ้าสุนัขเคยชินกับรสชาด และ กลิ่นของเห็ด เมื่อสุนัขออกไปเจอเห็ดมีพิษที่ขึ้นตามสนามหญ้า หรือสวนสาธารณะ ได้กลิ่นเห็ดที่คุ้นเคย อาจทำให้สุนัขกินเห็ดมีพิษได้
อ้างอิง จาก .. http://www.mylovegolden.net/board/viewtopic.php?t=950
ที่มา http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/blog-post_5636.html
ต่อมเหม็นของสุนัข หมา
ต่อมเหม็นหรือต่อมข้างทวารหนักคืออะไร
ต่อมข้างทวารหนัก หรือ Anal Sacs จะมีอยู่ 2 ข้าง ในตำแห่ง 9 นาฬิกาและ 3 นาฬิกา ข้างรูทวารหนัก ต่อมข้างทวารหนักจะทำหน้าที่ผลิตและเก็บกักของเหลวสี ออกเข้มๆ และมีกลิ่นที่แย่มากๆ ต่อมนี้จะมีช่องทางเล็กๆที่เชื่อมต่อกับทวารหนักซึ่ง ต่อมนี้ก็จะมีรูที่ปิดเอาไว้เพื่อเก็บกักของเหลวเอาไ ว้ อวัยวะนี้จะคล้ายๆกับต่อมเหม็นที่ตัวสกั๊งค์ผลิตกลิ่ นเฉพาะขึ้นมาเพื่อใช้ในการต่อสู้กับศัตรู
ความผิดปกติของต่อมข้างทวารหนัก
การที่จะเกิดโรคเกี่ยวกับต่อมข้างทวารหนัก จะมีอยู่ 3 ระดับของความรุนแรงของโรคนี้
1. เมื่อของงเหลวในต่อมนั้นเริ่มเปลี่ยนจากของเหลวมามาเ ป็นของเหลวที่ข้นขึ้นหรือบางทีก็แข็งตัว ในอาการของระดับนี้จะเรียกว่า Impaction หรือการอุดตัน
2.ขั้นนี้จะรุนแรงขึ้นกว่าขั้นแรก จะเรียกขั้นนี้ว่า Infection หรือการติดเชื้อ ซึ่งมาจากแบคทีเรียที่อยู่ในต่อมข้างทวารหนักทำให้เก ิดน้ำหนองขึ้นมา
3. เมื่อการติดเชื้อรุนแรงขึ้นทีให้ต่อมนั้นบวมและปริแต กออกมา ขั้นนี้จะเรียกว่า Abscess หรือเป็นฝี
การสังเกตว่าน้องหมามีปัญหาเกี่ยวกับต่อมข้างทวารหนั ก
1.น้องหมานั่งเอาก้นไถพื้นอยู่ตลอดเวลา
2.น้องหมาพยายามเลียทวารหนัก
3.ต่อมข้างก้นของน้องหมามีอาการบวม
4.สังเกตว่ามีเลือดไหลออกมา
การรักษาในระดับความรุนแรงต่างๆ
1. ถ้าเป็นแค่ระดับ Impaction ก็คือ บีบต่อมข้างทวารหนัก เพื่อให้ของเหลวที่อุดตันไหลออกมา
2. ถ้าเป็น Infection ต้องไปหาคุณหมอทานยาลดการอักเสบ
3. ถ้าเป็นฝีหรือ Abscess ก็ต้องมีการผ่าฝีออก
ก็ อย่างที่พี่บอกไว้ว่าต่อมนี้ไม่ได้สร้างกลิ่นตัวใน สุนัข เพราะต่อมนี้จะปล่อยกลิ่นเมื่อมีการต่อสู้เพื่อทำให้ ศัตรูกลัว แต่ก็มีความผิดปกติอยู่อย่างนึงที่เราอาจจะได้กลิ่นจ ากของเหลวที่ผลิตจากต่อมนี้ ซึ่งก็คือมาจากรูที่ปิดเชื่อมระหว่างต่อมนี้กับทวารห นัก นั้นปิดได้ไม่สนิท ก็ทำให้ของเหลวนั้นไหลออกมา ทำให้เกิดกลิ่น ซึ่งถ้าเกิดแบบนี้จริงๆ ไม่มีทางไหนรักษาหาย นอกจาก ผ่าตัดเอาต่อมข้างทวารหนักนั้นออก
โดย ปกติสุนัขและแมวทุกตัวจะมี " ต่อมเหม็น " หรือ " ต่อมข้างก้น " (anal gland) อยู่ภายในในก้น ของสุนัข ต่อมเหม็นนี้อยู่บริเวณข้างรูก้นของสุนัขในแนวเดียวก ันมี 2 ข้าง ซ้ายขวา ต่อมนี้มีหน้าที่สร้างสารคัดหลั่ง ที่เป็นสารชนิดหนึ่งซึ่งจะมีกลิ่นเฉพาะตัวของสุนัขตั วนั้นๆ โดยแต่ละตัวจะมีกลิ่นไม่ซ้ำกัน เป็นกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราจะเห็นได้ว่า เมื่อเวลาสุนัขแปลกหน้าเจอกันนั้นจะดมก้นกัน ไม่ใช่เราทำทะลึ่งกันนะครับ หลายคนจะดุสุนัขตัวเองเมื่อไปดมก้นสุนัขตัวอื่นว่าเป ็น "หมาทะลึ่ง" แต่ในความเป็นจริงแล้ว นั่นคือการที่เค้าตรวจสอบเอกลักษณ์ของเพื่อนใหม่ตัวน ั้นนั่นเอง
โดยปกติในต่อมเหม็นจะอยู่ในสภาพว่างเปล่า เพราะสารคัดหลั่งจะถูกแรงดันในการขับถ่ายกำจัดออกมา สารคัดหลั่งในต่อมเหม็นจะเป็นของเหลวสีน้ำตาลอ่อน บางครั้งอาจจะแข็งเป็นขี้ผึ้งสีเหลืองๆ ต่อมเหม็นจะถูกทำให้ว่างโดยการหดตัวของกล้ามเนื้อหูร ูดทวารหนัก การหดตัวจะเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อสุนัขหงุดหงิด ตกใจ ภายใต้ภาวะกดดัน หรือออกนอกอาณาเขตของตนเอง การหดตัวของกล้ามเนื้อหูรูดเพื่อขับสารคัดหลั่งส่งกล ิ่นไม่ใช่การกระทำเพื่อแสดงอาณาเขตอย่างเดียว แต่เป็นการแพร่กระจายกลิ่นตัวของสุนัขด้วย
ภาวะอุดตันของต่อมเหม็น
สำหรับ สุนัขสายพันธุ์ที่มีปัญหาเรื่องต่อมเหม็นอุดตั นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น ชิวาวา มิเนียเจอร์พินเชอร์ และอิงลิชค็อกเกอร์ สแปเนียล แต่สามารถเกิดกับสุนัขได้ทุกสายพันธ์ โดยสาเหตุจะมาจากท้องผูก อุจจาระแข็ง ปากท่อต่อมเหม็นเล็ก ต่อมเหม็นทำงานเกินขนาด (คือ ภาวะตื่นเต้นตกใจทั้งวัน) หรือสารคัดหลั่งแข็งเหมือนแป้ง ภาวะอุดตันนี้รักษาโดยกำจัดสารอุดตันให้ต่อมเหม็นว่า งเปล่า
ต่อมเหม็นอักเสบ
เมื่อ มีภาวะอุดตันต่อมเหม็นก็จะอักเสบ วิธีการดูแลก็ คือ ทำความสะอาดกำจัดสิ่งอุดตันออกให้หมดต่อมเหม็น ตามวิธีการข้างบน แล้วเอายาครีมปฎิชีวนะบีบใส่เข้าไปในต่อมเหม็น เช่น ยา Panalog โดยยานี้จะมีหัวบีบแบบกาวตราช้าง ให้บีบยาใส่ให้เต็มต่อมเหม็น ทำแบบนี้ทุก 2 วันจนกว่าจะไม่มีเลือดหรือหนอง และควรให้ยาปฏิชีวนะพวกคลอแรม (chloromycetin) หรือเตตร้าไซคลิน (tetracycline) ด้วย
ต่อมเหม็น
ต่อมข้างทวารหนัก หรือ Anal Sacs จะมีอยู่ 2 ข้าง ในตำแห่ง 9 นาฬิกาและ 3 นาฬิกา ข้างรูทวารหนัก ต่อมข้างทวารหนักจะทำหน้าที่ผลิตและเก็บกักของเหลวสี ออกเข้มๆ และมีกลิ่นที่แย่มากๆ ต่อมนี้จะมีช่องทางเล็กๆที่เชื่อมต่อกับทวารหนักซึ่ง ต่อมนี้ก็จะมีรูที่ปิดเอาไว้เพื่อเก็บกักของเหลวเอาไ ว้ อวัยวะนี้จะคล้ายๆกับต่อมเหม็นที่ตัวสกั๊งค์ผลิตกลิ่ นเฉพาะขึ้นมาเพื่อใช้ในการต่อสู้กับศัตรู
ความผิดปกติของต่อมข้างทวารหนัก
การที่จะเกิดโรคเกี่ยวกับต่อมข้างทวารหนัก จะมีอยู่ 3 ระดับของความรุนแรงของโรคนี้
1. เมื่อของงเหลวในต่อมนั้นเริ่มเปลี่ยนจากของเหลวมามาเ ป็นของเหลวที่ข้นขึ้นหรือบางทีก็แข็งตัว ในอาการของระดับนี้จะเรียกว่า Impaction หรือการอุดตัน
2.ขั้นนี้จะรุนแรงขึ้นกว่าขั้นแรก จะเรียกขั้นนี้ว่า Infection หรือการติดเชื้อ ซึ่งมาจากแบคทีเรียที่อยู่ในต่อมข้างทวารหนักทำให้เก ิดน้ำหนองขึ้นมา
3. เมื่อการติดเชื้อรุนแรงขึ้นทีให้ต่อมนั้นบวมและปริแต กออกมา ขั้นนี้จะเรียกว่า Abscess หรือเป็นฝี
การสังเกตว่าน้องหมามีปัญหาเกี่ยวกับต่อมข้างทวารหนั ก
1.น้องหมานั่งเอาก้นไถพื้นอยู่ตลอดเวลา
2.น้องหมาพยายามเลียทวารหนัก
3.ต่อมข้างก้นของน้องหมามีอาการบวม
4.สังเกตว่ามีเลือดไหลออกมา
การรักษาในระดับความรุนแรงต่างๆ
1. ถ้าเป็นแค่ระดับ Impaction ก็คือ บีบต่อมข้างทวารหนัก เพื่อให้ของเหลวที่อุดตันไหลออกมา
2. ถ้าเป็น Infection ต้องไปหาคุณหมอทานยาลดการอักเสบ
3. ถ้าเป็นฝีหรือ Abscess ก็ต้องมีการผ่าฝีออก
ก็ อย่างที่พี่บอกไว้ว่าต่อมนี้ไม่ได้สร้างกลิ่นตัวใน สุนัข เพราะต่อมนี้จะปล่อยกลิ่นเมื่อมีการต่อสู้เพื่อทำให้ ศัตรูกลัว แต่ก็มีความผิดปกติอยู่อย่างนึงที่เราอาจจะได้กลิ่นจ ากของเหลวที่ผลิตจากต่อมนี้ ซึ่งก็คือมาจากรูที่ปิดเชื่อมระหว่างต่อมนี้กับทวารห นัก นั้นปิดได้ไม่สนิท ก็ทำให้ของเหลวนั้นไหลออกมา ทำให้เกิดกลิ่น ซึ่งถ้าเกิดแบบนี้จริงๆ ไม่มีทางไหนรักษาหาย นอกจาก ผ่าตัดเอาต่อมข้างทวารหนักนั้นออก
โดย ปกติสุนัขและแมวทุกตัวจะมี " ต่อมเหม็น " หรือ " ต่อมข้างก้น " (anal gland) อยู่ภายในในก้น ของสุนัข ต่อมเหม็นนี้อยู่บริเวณข้างรูก้นของสุนัขในแนวเดียวก ันมี 2 ข้าง ซ้ายขวา ต่อมนี้มีหน้าที่สร้างสารคัดหลั่ง ที่เป็นสารชนิดหนึ่งซึ่งจะมีกลิ่นเฉพาะตัวของสุนัขตั วนั้นๆ โดยแต่ละตัวจะมีกลิ่นไม่ซ้ำกัน เป็นกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราจะเห็นได้ว่า เมื่อเวลาสุนัขแปลกหน้าเจอกันนั้นจะดมก้นกัน ไม่ใช่เราทำทะลึ่งกันนะครับ หลายคนจะดุสุนัขตัวเองเมื่อไปดมก้นสุนัขตัวอื่นว่าเป ็น "หมาทะลึ่ง" แต่ในความเป็นจริงแล้ว นั่นคือการที่เค้าตรวจสอบเอกลักษณ์ของเพื่อนใหม่ตัวน ั้นนั่นเอง
โดยปกติในต่อมเหม็นจะอยู่ในสภาพว่างเปล่า เพราะสารคัดหลั่งจะถูกแรงดันในการขับถ่ายกำจัดออกมา สารคัดหลั่งในต่อมเหม็นจะเป็นของเหลวสีน้ำตาลอ่อน บางครั้งอาจจะแข็งเป็นขี้ผึ้งสีเหลืองๆ ต่อมเหม็นจะถูกทำให้ว่างโดยการหดตัวของกล้ามเนื้อหูร ูดทวารหนัก การหดตัวจะเป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อสุนัขหงุดหงิด ตกใจ ภายใต้ภาวะกดดัน หรือออกนอกอาณาเขตของตนเอง การหดตัวของกล้ามเนื้อหูรูดเพื่อขับสารคัดหลั่งส่งกล ิ่นไม่ใช่การกระทำเพื่อแสดงอาณาเขตอย่างเดียว แต่เป็นการแพร่กระจายกลิ่นตัวของสุนัขด้วย
ภาวะอุดตันของต่อมเหม็น
สำหรับ สุนัขสายพันธุ์ที่มีปัญหาเรื่องต่อมเหม็นอุดตั นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น ชิวาวา มิเนียเจอร์พินเชอร์ และอิงลิชค็อกเกอร์ สแปเนียล แต่สามารถเกิดกับสุนัขได้ทุกสายพันธ์ โดยสาเหตุจะมาจากท้องผูก อุจจาระแข็ง ปากท่อต่อมเหม็นเล็ก ต่อมเหม็นทำงานเกินขนาด (คือ ภาวะตื่นเต้นตกใจทั้งวัน) หรือสารคัดหลั่งแข็งเหมือนแป้ง ภาวะอุดตันนี้รักษาโดยกำจัดสารอุดตันให้ต่อมเหม็นว่า งเปล่า
ต่อมเหม็นอักเสบ
เมื่อ มีภาวะอุดตันต่อมเหม็นก็จะอักเสบ วิธีการดูแลก็ คือ ทำความสะอาดกำจัดสิ่งอุดตันออกให้หมดต่อมเหม็น ตามวิธีการข้างบน แล้วเอายาครีมปฎิชีวนะบีบใส่เข้าไปในต่อมเหม็น เช่น ยา Panalog โดยยานี้จะมีหัวบีบแบบกาวตราช้าง ให้บีบยาใส่ให้เต็มต่อมเหม็น ทำแบบนี้ทุก 2 วันจนกว่าจะไม่มีเลือดหรือหนอง และควรให้ยาปฏิชีวนะพวกคลอแรม (chloromycetin) หรือเตตร้าไซคลิน (tetracycline) ด้วย
ต่อมเหม็น
เคล็ดลับในการพาสุนัขไปเที่ยวอย่างมีความสุข
เคล็ดลับ ในการพา สุนัข ไปเที่ยว อย่างมีความสุข
1. ห้อยป้ายชื่อ สุนัข ( พร้อม เบอร์โทรศัพท์ ของเจ้าของ สุนัข ) และป้ายการรับฉีด วัคซีน ไว้ที่ ปลอกคอ
2. ควรนำ ประวัติสุนัข ติดตัวไปด้วย
3. ควรใช้ สายจูง และ กรงที่ใช้อยู่เป็นประจำ
4. อย่าลืมสิ่งของ ส่วนตัวของเค้า เช่น ของเล่นชิ้นโปรด ที่นอน ผ้าห่ม สายจูง
5. นำสิ่งของเบ็ดเตล็ด เช่น ถุงเพื่อใส่สิ่งปฎิกูล น้ำยาปรับอากาศ น้ำยาทำความสะอาดพรมไปด้วย
6. อย่าลืม !!! อาหารโปรด ของ สุนัข
7. ก่อนออกเดินทาง 1-2 ชั่วโมง อย่าให้ สุนัข กินอาหาร เป็นอันขาด
8. ตรวจเช็ค ว่า รถโดยสาร หรือ รถไฟ ที่จะโดยสารไปนั้น อนุญาตให้นำ สุนัข โดยสาร ไปด้วยได้หรือไม่
9. หากต้อง เดินทางไปต่างประเทศ ควรศึกษา กฎระเบียบ ของประเทศนั้นให้ถี่ถ้วน
10. สิ่งสำคัญที่สุด !! อย่าลืม ติดรูปถ่าย ปัจจุบัน ของ สุนัข ไปด้วย ( เผื่อไว้ในกรณี ที่ สุนัข เกิด พลัดหลง สูญหาย )
ด้วยความปราถนาดีจาก Dogazine
1. ห้อยป้ายชื่อ สุนัข ( พร้อม เบอร์โทรศัพท์ ของเจ้าของ สุนัข ) และป้ายการรับฉีด วัคซีน ไว้ที่ ปลอกคอ
2. ควรนำ ประวัติสุนัข ติดตัวไปด้วย
3. ควรใช้ สายจูง และ กรงที่ใช้อยู่เป็นประจำ
4. อย่าลืมสิ่งของ ส่วนตัวของเค้า เช่น ของเล่นชิ้นโปรด ที่นอน ผ้าห่ม สายจูง
5. นำสิ่งของเบ็ดเตล็ด เช่น ถุงเพื่อใส่สิ่งปฎิกูล น้ำยาปรับอากาศ น้ำยาทำความสะอาดพรมไปด้วย
6. อย่าลืม !!! อาหารโปรด ของ สุนัข
7. ก่อนออกเดินทาง 1-2 ชั่วโมง อย่าให้ สุนัข กินอาหาร เป็นอันขาด
8. ตรวจเช็ค ว่า รถโดยสาร หรือ รถไฟ ที่จะโดยสารไปนั้น อนุญาตให้นำ สุนัข โดยสาร ไปด้วยได้หรือไม่
9. หากต้อง เดินทางไปต่างประเทศ ควรศึกษา กฎระเบียบ ของประเทศนั้นให้ถี่ถ้วน
10. สิ่งสำคัญที่สุด !! อย่าลืม ติดรูปถ่าย ปัจจุบัน ของ สุนัข ไปด้วย ( เผื่อไว้ในกรณี ที่ สุนัข เกิด พลัดหลง สูญหาย )
ด้วยความปราถนาดีจาก Dogazine
ใบPEDIGREE เพ็ดดีกรี คืออะไร
>>>>>> ใบเพ็ด ใบเพ็ด หรือใบ เพ็ดดีกรี (Pedigree) นั่นเองมันเป็นใบพันธุ์ประวัติ
ที่มีการบัญทึกประวัติของสุนัขตัวนั้นว่ามี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของสุนัขตัวนั้น ชื่ออะไร
ซึ่งทางซ้ายมือสุดคือ ชื่อของพ่อ-แม่ และไล่ไปทางขวามือตามลำดับ
ใบ pedigree ที่เห็นกันทั่วๆ ไปจะมี 3 ช่วงอายุ (generation) และ 4 ช่วงอายุ ซึ่ง 4 ช่วงอายุนั้นจะบอกถึงบรรพบุรุษ
สายตัวพ่อ(เพศผู้) จำนวนรวม 15 ตัว เรียกว่าสายบน และ
บรรพบุรุษสายตัวแม่(เพศเมีย) จำนวนรวม 15 ตัวเรียกว่าสายล่าง
รวมแล้วจะมีชื่อสุนัขที่ปรากฏอยู่ในใบพันธุ์ประวัติทั้งหมด 30 ตัว ใน 4 ช่วงอายุ
แล้วเจ้าใบนี้ มันสำคัญยังไงละ??
เจ้าใบ pedigree มีความสำคัญในการพัฒนาสายพันธุ์สุนัข เจ้าใบนี้มันจะบอกเราว่า สุนัขตัวนี้เป็นลูกใคร
เกิดจากการผสมแบบไหน ผสมสายเลือดชิด การผสมในสายเลือด หรือการผสมข้ามสายเลือด
ซึ่งใบเพ็ดไม่ได้จะเป็นการแสดงว่าเจ้าหมาตัวนั้นดีหรือไม่มี การที่จะรู้ว่าดีไม่ได้ มันก็อยู่ที่การเลือกซื้อสุนัข
ตัวรูปร่างหน้าตา นิสัย ความปกติของร่ายกาย ฯลฯ
________________________________________________________
ขั้นตอนการขอใบ
1. ต้องเป็นสมาชิคของสมาคมหรือว่าคอกได้จดทะเบียนกับสมา คมผู้เลี้ยงสุนัขรึยัง ในประเทศไทยก็มีสมาคมที่ได้การยอมรับจาก FCI ซึ่งเค้าเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ สมาคอมนั้นก็คือ สมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย)
2. ต่อมาดูแม่พันธุ์ได้จดทะเบียนไว้รึยัง หรือมีใบ Pedigree มั๊ย ถ้าหากไม่มีก็ไปจดทะเบียนแม่พันธุ์ก่อน ซึ่งจะได้เป็นสุนัขประเภท No Record ได้ ซึ่งหากเป็นแบนี้ ในใบ Pedigree จะปรากฏเฉพาะชื่อแม่พันธุ์อย่างเดียวจะไม่มีชื่อพ่อแ ม่หรือปู่ย่าตาทวด เพราะว่าไม่ได้มีการแจ้งบันทึกไว้ก่อน
แต่ถ้าสุนัขของเคยจดทะเบียนแล้ว ต้องมีชื่อในทะเบียนเป็นเจ้าของสุนัขถ้าซื้อต่อเขามา ต้องให้เจ้าของเดิมเซ็นสลักหลังโอนให้ด้วยจึงจะถือว่ า คุณเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์
สำหรับใบ Pedigree ถ้ามีใบ Pedigree ที่รับรองโดยสมาคมพัฒนาฯแล้วก็นำมาใช้ได้เลยแต่ถ้าเป ็นของสถาบันอื่น
ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก FCI ก็นำมาใช้ไม่ได้ ต้องออกใหม่ในรูปของ NO Record เช่นกัน
สำหรับผู้นำเอาสุนัข มาจากต่างประเทศและมีใบ Pedigree ประเภท Export และเป็น Pedigree ที่ได้รับการรับรองจาก FCI ก็นำมาจดทะเบียนได้เลยเช่นเดียวกัน
3. ขั้นตอนต่อไป คือ เมื่อนำสุนัขไปผสมกับพ่อพันธุ์ก็ต้องขอดูใบทะเบียนแล ะ Pedigree จากเจ้าของพ่อพันธุ์ให้แน่ใจว่า
มีเอกสารถูกต้องสมบูรณ์และผู้รับผสมเป็นผู้มีสิทธิ์เ ป็นเจ้าของพ่อพันธุ์หรือไม่ เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง ตามกฎของสมาคมฯถือว่าเจ้าของแม่พันธุ์เป็นผู้ผสมพันธ ุ์หรือ Breeder ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่เจ้าของแม่พันธุ์ ที่จะแจ้งผสมพันธุ์และจดทะเบียนครอกตามแบบฟอร์มที่สม าคมกำหนดซึ่งการนำแม่พันธุ์ไปผสมอย่าลืมนำแบบฟอร์มนี ้ไป ให้เจ้าของพ่อพันธุ์เซ็นชื่อรับรองด้วย เสร็จแล้วก็นำแบบฟอร์มไปยื่นกับสมาคมฯตามขั้นตอนและเ งื่อนเวลาดังนี้
1. ต้องแจ้งผสมพันธุ์ภายใน 15 วัน หลังจากวันผสม
2. ต้องแจ้งเกิดลูกสุนัขภายใน 15 วัน หลังลูกสุนัขคลอด
3. หลังจากแจ้งเกิดแล้วภายในไม่เกิน 45 วันให้ติดต่อรับใบทะเบียนครอก
(LITTER REGISTRATION) และหมายเลขทะเบียนตัว (REGISTER NUMBER)
พร้อมนำกลับไปตั้งชื่อสุนัข (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 50 บาท)
4. หลังจากตั้งชื่อสุนัขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้นำใบทะเบียนครอก
(LITTER REGISTRATION) มาขึ้นทะเบียนที่สมาคมฯ เพื่อขอรับใบรับรองทะเบียน
ตัวสุนัข (REGISTRATION CERTIFICATE) (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 100 บาท)
ภายในระยะไม่เกิน 6 เดือน
5. หากเจ้าของสุนัขต้องการใบรับรองพันธุ์ประวัติ (CERTIFIED PEDIGREE) 3 ชั่วอายุ
สุนัข ให้แจ้งความประสงค์ กับทางสมาคมฯ (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 100 บาท/ฉบับ)
ทีนี้ก็ทราบถึงวิธีการและขั้นตอนต่างๆแล้วนะครับ แต่ที่สำคัญอย่าลืมว่าการจะเพาะพันธุ์
สุนัขให้ได้ดีอยู่ที่การวางแผนการผสมพันธุ์โดยการคัด เลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ดี การดูแล
สุขภาพทั้งก่อนและหลังการผสม ให้การดูแลลูกสุนัขให้เติบโตสมวัยเพื่อจะได้มีประชาก ร
สุนัข ที่มีคุณภาพต่อไป
________________________________________________________
จดพันธ์ประวัติ (PEDEEGREE) ออกโดยสมาคมพันธ์สุนัขแห่งประเทสไทย ชื่อย่อ KC
สถานที่สำนักงานใหญ่ 9/338 ซอย กม.25 ถ.พหลโยธิน เขตสายไหม กทม.10220
โทร 02-9903618 02-9903428-9 โทรสาร 02-9903619
ต้องสมัครเป็นสมาชิกค่าธรรมเนียมปีละ 200 บาท ต้องต่อทุกปี ถ้าไม่ต่อจะถือว่าขาดจากการเป็นสมาชิก
หลักฐานครั้งแรก สำเนาบัตรประชาชนพร้อมเซ็นสำเนาถูกต้อง 1 ชุด
การโอนเปลี่ยนเจ้าของ 100 บาท
การแจ้งผสม ภายใน 15 วันไม่เสียค่าธรรมเนียม
ค่าแจ้งเกิดลูกสุนัข 50 บาท/ตัว
ค่าธรรมเนียมใบทะเบียนตัว 100 บาท
ค่าธรรมเนียมพันธ์ประวัติ 3 ชั่วอายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย (PEDEEGREE) ตัวละ 100 บาท
ค่าธรรมเนียมพันธ์ประวัติ 4 ชั่วอายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด (PEDEEGREE) ตัวละ 150 บาท
ใบทะเบียนตัว (Registration Certificate)
สิทธิในการเป็นเจ้าของสุนัขที่แท้จริง ทางสมาคมฯจะยึดถึงใบทะเบียนตัว (Registration Certificate) เป็นหลัก
เสียค่าใช้จ่ายตัวละ 100 บาท ยื่นสมาคมฯ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
ลักษณะใบเล็กยาว ที่สมาคมเวลาออกให้จะถามว่าเอาใบเล็กหรือใบใหญ่
ลายเซ็นเจ้าของสุนัข สมาคมฯ จะยึดถือลายเซ็นที่ให้ไว้กับสมาคมเป็นสำคัญ
ด้านหลังจะเป็นการเซ็นเปลี่ยนโอนเจ้าของใหม่
ให้ เจ้าของเก่าเซ็นโอนด้านหลังของใบร้บรองทะเบียนตัว และเจ้าของมายื่นแสดงการเปลี่ยนเจ้าของต่อไป เสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 100 บาท
จดพันธ์ประวัติ (PEDEEGREE)
ค่าธรรมเนียมพันธ์ประวัติ 3 ชั่วอายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย (PEDEEGREE) ตัวละ 100 บาท
ค่าธรรมเนียมพันธ์ประวัติ 4 ชั่วอายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด (PEDEEGREE) ตัวละ 150 บาท
ใบแจ้งผสมพันธ์
ต้องแจ้งผสมพันธ์ ภายใน 15 วันไม่เสียค่าธรรมเนียม พอกรอกแบบฟอร์มแล้วก็ไปยื่น
พอ ลูกสุนัขเกิด ก็ไปแจ้งการเกิดและแจ้งชื่อลูกสุนัข ค่าแจ้งเกิดลูกสุนัข 50 บาท/ตัว ต้องเตรียมตั้งชื่อไว้ก่อน แล้วไปแจ้งโดยกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มอีกครั้ง
พันธ์ประวัติ (PEDEEGREE) ถ้านอกเหนือจากที่สมาคมออกให้ เป็นการทำใบฯ ขึ้นมาเอง มีอยู่หลายที่ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ ่บางแห่งก็ทำปลอมขึ้นมา บางแห่งก็นำลูกสุนัขมาสวมใบแพ็ด จะเป็นการยากสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงค่ะ ใบแพ็ดที่แท้จริงออกโดยสมาคมจะมีรูปแบบตามที่นำมาลงให้ดูน่ะค่ะ เคยถามทางสมาคมก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการเอาผิดกับคนพวกนั้น เวลาไปซื้อขอทางเจ้าของดูใบฯ ของพ่อแม่ของลูกสุนัข จะทำให้รู้ได้ว่าใบฯ จากสมาคมหรือเปล่า ถ้ามีใบแพดฯ ก็จะทำให้ทราบประวัติสุนัข พ่อ แม่ ปู่ย่าตายาย เป็นใคร บางทีถ้าไปผสม จะได้รู้ว่าไม่ได้เป็นสายเลือดใกล้ชิด เหมือนคนที่มีใบทะเบียนบ้าน
ที่มีการบัญทึกประวัติของสุนัขตัวนั้นว่ามี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของสุนัขตัวนั้น ชื่ออะไร
ซึ่งทางซ้ายมือสุดคือ ชื่อของพ่อ-แม่ และไล่ไปทางขวามือตามลำดับ
ใบ pedigree ที่เห็นกันทั่วๆ ไปจะมี 3 ช่วงอายุ (generation) และ 4 ช่วงอายุ ซึ่ง 4 ช่วงอายุนั้นจะบอกถึงบรรพบุรุษ
สายตัวพ่อ(เพศผู้) จำนวนรวม 15 ตัว เรียกว่าสายบน และ
บรรพบุรุษสายตัวแม่(เพศเมีย) จำนวนรวม 15 ตัวเรียกว่าสายล่าง
รวมแล้วจะมีชื่อสุนัขที่ปรากฏอยู่ในใบพันธุ์ประวัติทั้งหมด 30 ตัว ใน 4 ช่วงอายุ
แล้วเจ้าใบนี้ มันสำคัญยังไงละ??
เจ้าใบ pedigree มีความสำคัญในการพัฒนาสายพันธุ์สุนัข เจ้าใบนี้มันจะบอกเราว่า สุนัขตัวนี้เป็นลูกใคร
เกิดจากการผสมแบบไหน ผสมสายเลือดชิด การผสมในสายเลือด หรือการผสมข้ามสายเลือด
ซึ่งใบเพ็ดไม่ได้จะเป็นการแสดงว่าเจ้าหมาตัวนั้นดีหรือไม่มี การที่จะรู้ว่าดีไม่ได้ มันก็อยู่ที่การเลือกซื้อสุนัข
ตัวรูปร่างหน้าตา นิสัย ความปกติของร่ายกาย ฯลฯ
________________________________________________________
ขั้นตอนการขอใบ
1. ต้องเป็นสมาชิคของสมาคมหรือว่าคอกได้จดทะเบียนกับสมา คมผู้เลี้ยงสุนัขรึยัง ในประเทศไทยก็มีสมาคมที่ได้การยอมรับจาก FCI ซึ่งเค้าเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ สมาคอมนั้นก็คือ สมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย)
2. ต่อมาดูแม่พันธุ์ได้จดทะเบียนไว้รึยัง หรือมีใบ Pedigree มั๊ย ถ้าหากไม่มีก็ไปจดทะเบียนแม่พันธุ์ก่อน ซึ่งจะได้เป็นสุนัขประเภท No Record ได้ ซึ่งหากเป็นแบนี้ ในใบ Pedigree จะปรากฏเฉพาะชื่อแม่พันธุ์อย่างเดียวจะไม่มีชื่อพ่อแ ม่หรือปู่ย่าตาทวด เพราะว่าไม่ได้มีการแจ้งบันทึกไว้ก่อน
แต่ถ้าสุนัขของเคยจดทะเบียนแล้ว ต้องมีชื่อในทะเบียนเป็นเจ้าของสุนัขถ้าซื้อต่อเขามา ต้องให้เจ้าของเดิมเซ็นสลักหลังโอนให้ด้วยจึงจะถือว่ า คุณเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์
สำหรับใบ Pedigree ถ้ามีใบ Pedigree ที่รับรองโดยสมาคมพัฒนาฯแล้วก็นำมาใช้ได้เลยแต่ถ้าเป ็นของสถาบันอื่น
ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก FCI ก็นำมาใช้ไม่ได้ ต้องออกใหม่ในรูปของ NO Record เช่นกัน
สำหรับผู้นำเอาสุนัข มาจากต่างประเทศและมีใบ Pedigree ประเภท Export และเป็น Pedigree ที่ได้รับการรับรองจาก FCI ก็นำมาจดทะเบียนได้เลยเช่นเดียวกัน
3. ขั้นตอนต่อไป คือ เมื่อนำสุนัขไปผสมกับพ่อพันธุ์ก็ต้องขอดูใบทะเบียนแล ะ Pedigree จากเจ้าของพ่อพันธุ์ให้แน่ใจว่า
มีเอกสารถูกต้องสมบูรณ์และผู้รับผสมเป็นผู้มีสิทธิ์เ ป็นเจ้าของพ่อพันธุ์หรือไม่ เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง ตามกฎของสมาคมฯถือว่าเจ้าของแม่พันธุ์เป็นผู้ผสมพันธ ุ์หรือ Breeder ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่เจ้าของแม่พันธุ์ ที่จะแจ้งผสมพันธุ์และจดทะเบียนครอกตามแบบฟอร์มที่สม าคมกำหนดซึ่งการนำแม่พันธุ์ไปผสมอย่าลืมนำแบบฟอร์มนี ้ไป ให้เจ้าของพ่อพันธุ์เซ็นชื่อรับรองด้วย เสร็จแล้วก็นำแบบฟอร์มไปยื่นกับสมาคมฯตามขั้นตอนและเ งื่อนเวลาดังนี้
1. ต้องแจ้งผสมพันธุ์ภายใน 15 วัน หลังจากวันผสม
2. ต้องแจ้งเกิดลูกสุนัขภายใน 15 วัน หลังลูกสุนัขคลอด
3. หลังจากแจ้งเกิดแล้วภายในไม่เกิน 45 วันให้ติดต่อรับใบทะเบียนครอก
(LITTER REGISTRATION) และหมายเลขทะเบียนตัว (REGISTER NUMBER)
พร้อมนำกลับไปตั้งชื่อสุนัข (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 50 บาท)
4. หลังจากตั้งชื่อสุนัขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้นำใบทะเบียนครอก
(LITTER REGISTRATION) มาขึ้นทะเบียนที่สมาคมฯ เพื่อขอรับใบรับรองทะเบียน
ตัวสุนัข (REGISTRATION CERTIFICATE) (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 100 บาท)
ภายในระยะไม่เกิน 6 เดือน
5. หากเจ้าของสุนัขต้องการใบรับรองพันธุ์ประวัติ (CERTIFIED PEDIGREE) 3 ชั่วอายุ
สุนัข ให้แจ้งความประสงค์ กับทางสมาคมฯ (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 100 บาท/ฉบับ)
ทีนี้ก็ทราบถึงวิธีการและขั้นตอนต่างๆแล้วนะครับ แต่ที่สำคัญอย่าลืมว่าการจะเพาะพันธุ์
สุนัขให้ได้ดีอยู่ที่การวางแผนการผสมพันธุ์โดยการคัด เลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ดี การดูแล
สุขภาพทั้งก่อนและหลังการผสม ให้การดูแลลูกสุนัขให้เติบโตสมวัยเพื่อจะได้มีประชาก ร
สุนัข ที่มีคุณภาพต่อไป
________________________________________________________
จดพันธ์ประวัติ (PEDEEGREE) ออกโดยสมาคมพันธ์สุนัขแห่งประเทสไทย ชื่อย่อ KC
สถานที่สำนักงานใหญ่ 9/338 ซอย กม.25 ถ.พหลโยธิน เขตสายไหม กทม.10220
โทร 02-9903618 02-9903428-9 โทรสาร 02-9903619
ต้องสมัครเป็นสมาชิกค่าธรรมเนียมปีละ 200 บาท ต้องต่อทุกปี ถ้าไม่ต่อจะถือว่าขาดจากการเป็นสมาชิก
หลักฐานครั้งแรก สำเนาบัตรประชาชนพร้อมเซ็นสำเนาถูกต้อง 1 ชุด
การโอนเปลี่ยนเจ้าของ 100 บาท
การแจ้งผสม ภายใน 15 วันไม่เสียค่าธรรมเนียม
ค่าแจ้งเกิดลูกสุนัข 50 บาท/ตัว
ค่าธรรมเนียมใบทะเบียนตัว 100 บาท
ค่าธรรมเนียมพันธ์ประวัติ 3 ชั่วอายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย (PEDEEGREE) ตัวละ 100 บาท
ค่าธรรมเนียมพันธ์ประวัติ 4 ชั่วอายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด (PEDEEGREE) ตัวละ 150 บาท
ใบทะเบียนตัว (Registration Certificate)
สิทธิในการเป็นเจ้าของสุนัขที่แท้จริง ทางสมาคมฯจะยึดถึงใบทะเบียนตัว (Registration Certificate) เป็นหลัก
เสียค่าใช้จ่ายตัวละ 100 บาท ยื่นสมาคมฯ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
ลักษณะใบเล็กยาว ที่สมาคมเวลาออกให้จะถามว่าเอาใบเล็กหรือใบใหญ่
ลายเซ็นเจ้าของสุนัข สมาคมฯ จะยึดถือลายเซ็นที่ให้ไว้กับสมาคมเป็นสำคัญ
ด้านหลังจะเป็นการเซ็นเปลี่ยนโอนเจ้าของใหม่
ให้ เจ้าของเก่าเซ็นโอนด้านหลังของใบร้บรองทะเบียนตัว และเจ้าของมายื่นแสดงการเปลี่ยนเจ้าของต่อไป เสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 100 บาท
จดพันธ์ประวัติ (PEDEEGREE)
ค่าธรรมเนียมพันธ์ประวัติ 3 ชั่วอายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย (PEDEEGREE) ตัวละ 100 บาท
ค่าธรรมเนียมพันธ์ประวัติ 4 ชั่วอายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด (PEDEEGREE) ตัวละ 150 บาท
ใบแจ้งผสมพันธ์
ต้องแจ้งผสมพันธ์ ภายใน 15 วันไม่เสียค่าธรรมเนียม พอกรอกแบบฟอร์มแล้วก็ไปยื่น
พอ ลูกสุนัขเกิด ก็ไปแจ้งการเกิดและแจ้งชื่อลูกสุนัข ค่าแจ้งเกิดลูกสุนัข 50 บาท/ตัว ต้องเตรียมตั้งชื่อไว้ก่อน แล้วไปแจ้งโดยกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มอีกครั้ง
พันธ์ประวัติ (PEDEEGREE) ถ้านอกเหนือจากที่สมาคมออกให้ เป็นการทำใบฯ ขึ้นมาเอง มีอยู่หลายที่ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ ่บางแห่งก็ทำปลอมขึ้นมา บางแห่งก็นำลูกสุนัขมาสวมใบแพ็ด จะเป็นการยากสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงค่ะ ใบแพ็ดที่แท้จริงออกโดยสมาคมจะมีรูปแบบตามที่นำมาลงให้ดูน่ะค่ะ เคยถามทางสมาคมก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการเอาผิดกับคนพวกนั้น เวลาไปซื้อขอทางเจ้าของดูใบฯ ของพ่อแม่ของลูกสุนัข จะทำให้รู้ได้ว่าใบฯ จากสมาคมหรือเปล่า ถ้ามีใบแพดฯ ก็จะทำให้ทราบประวัติสุนัข พ่อ แม่ ปู่ย่าตายาย เป็นใคร บางทีถ้าไปผสม จะได้รู้ว่าไม่ได้เป็นสายเลือดใกล้ชิด เหมือนคนที่มีใบทะเบียนบ้าน
ใบเพ็ดดิกรี คืออะไร จริงหรือปลอม ดูอย่างไร
ใบเพ็ดดิกรี หรือใบรับรองพันธุ์ประวัติ (Certificate Pedigree) จะบอกถึงบรรพบุรุษ (พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด) ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของลูกสุนัข ที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรม ลักษณะเด่น ด้อย มาจากบรรพบุรุษมากน้อยเพียงใด ดังนั้น เราจึงใช้ใบพันธุ์ประวัติเป็นข้อมูล หรือแนวทางการวางแผนที่จะผสมพันธุ์สุนัข
สำหรับใบเพ็ดดิกรีปลอม เป็นอุปสรรค์ในการวางแผนที่จะผสมพันธุ์สุนัข เพราะเราไม่รู้สายพันธุ์ว่ามาจากพ่อ-แม่ ตัวไหน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผสมพันธุ์สุนัขที่เรานิยมทำกัน คือพิจารณาคัดเลือกพ่อพันธุ์ที่เราชอบ และมีลักษณะเด่นบางอย่าง ที่สามารถแก้ไขลักษณะด้อยของแม่พันธุ์ เพื่อถ่ายถอดลักษณะที่ดีมาสู่ลูกสุนัข บางครั้งจำเป็นต้องศึกษาพันธุ์ประวัติประกอบกันด้วย
ใบพันธุ์ประวัติ ( PEDIGREE ) ที่ได้รับการรับรอง
ตัวอย่างเช่น
# ใบ EXPORT PEDIGREE (เอ็กซ์พอร์ทเพดดิกรี) ของประเทศที่เป็นสมาชิก F.C.I. , K.C. (อังกฤษ) , A.N.K.C. (ออสเตรเลีย) , N.Z.K.C. (นิวซีแลนด์) , A.K.C. (สหรัฐอเมริกา) เป็นต้น
# ใบ CERTIFIED PEDIGREE (ใบรับรองพันธุ์ประวัติ) ของสมาคมผู้นิยมสุนัขแห่งประเทศไทย (D.A.T.)
# ใบ CERTIFIED PEDIGREE (ใบรับรองพันธุ์ประวัติ) ของสมาคมพัฒนาพันธ์สุนัข (ประเทศไทย) (K.C.T.)
ทำไมถึงเรียกว่าใบเพ็ดดิกรีปลอม และปลอมกันอย่างไร
1. ใบเพ็ดดิกรี ที่ทำขึ้นมาเอง หรือทำเลียนแบบ พิมพ์ขึ้นมาเอง โดยไม่ได้รับการรับรองจากสมาคมต่างๆ เช่น ใบเพ็ดดิกรีที่ออกให้โดยทางร้านขายสุนัข, ออกให้โดยฟาร์มสุนัข เป็นต้น
2. ใบเพ็ดดิกรี ที่สวมลอย คือ การนำเอาใบเพ็ดดิกรีที่ได้รับการรับรอง มาให้ แต่สุนัขไม่ได้เกิดจากพ่อแม่พันธุ์ที่ระบุไว้ในใบเพ็ดฯ ดังนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการปลอมหรือหลอกลวง การตรวจสอบทำได้โดยการตรวจ DNA พ่อ-แม่ มาเทียบกับลูก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
ใบเพ็ดดิกรี จะสำคัญหรือไม่ อยู่ที่การนำไปใช้ประโยชน์ และอยู่ที่ความพึ่งพอใจของคุณ เป็นข้อกำหนดตกลงที่เกิดขึ้นมา โดยมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจการค้า ด้านสังคม ความเชิดหน้าชูตา
ส่วนให่ญจะเข้าใจว่าสุนัขที่มีเพ็ดดีกรี เป็นสุนัขที่ดีเลิศ มีสกุลรุนชาติ ที่แท้จริงแล้วเพ็ดดีกรีคือเอกสารบันทึกที่มาแห่งต้นตระกูลของส ุนัขพันธุ์แท้ โดยทั่วไปจะแสดงไว้3ชว่งอายุ
ประโยชน์ของเพ็ดดีกรีคือ
-เพื่อประโยชน์ในการศึกษาที่มาแห่งสายพันธุ์สุนัข
-เพื่อประโยชน์ในการเลือกคู่ให้สุนัข
-เพื่อพิสูจน์ความสามารถในการถ่ายทอดสายเลือดของพ่อพันธุ์แม่พั นธุ์
-เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการทำลายสายพันธุ์หรือกา รเสื่อมของสายเลือด
-เพื่อพิสูจน์ความสามารถและความตั้งใจของผู้ผสมพันธุ์(BREEDER)
เพ็ดดีกรี แบ่งออกเป็น 3ชนิด
1.UNCERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีประเภทนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ผู้ผสมพันธุ์(BREEDER) ; ; เป็นผู้ออกให้ผู้ซื้อ ทราบที่มาของบรรพบุรุษของสุนัขตัวนั้นๆ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท ่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อการรับรองโดยสมาคมฯได้
2.CERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ออกโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข( ประเทศไทย) ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากบรรดาสมาชิกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้ เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯกับสมาชิก นอกจากนี้เพ็ดดีกรีชนิดนี้ทางสมาคมฯได้แบ่งแยกออกเป็น2ประเภทคื อ
2.1 COMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีเต็มใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขทั้งสายพ่อและสายแม่ เต็ม 3ชว่งอายุ ขณะนี้ทางสมาคมฯได้ใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี มว่งออ่น และมีสัญญลักษณ์ของสมาคมฯ, A.K.U. และ F.C.I.อยู่ในเพ็ดดีกรี
2.2 INCOMPLETE PEDIGREE หรือ UNCOMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีครึ่งใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขที่เป็นสายพ่อสายแม่ไม ่ครบ 3ชว่งอายุ หรือสายพ่อครบ 3ชว่งอายุแต่สายแม่ไม่ครบ 3ชว่งอายุ หรือสายพ่อไม่ครบ 3ชว่งอายุแต่สายแม่ครบ 3ชว่งอายุ โดยทางสมาคมฯจะใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี เขียวออ่น และมีเพียงสัญญลักษณ์ของสมาคมฯอยู่ในเพ็ดดีกรีเพียงอย่างเดียว
3.CERTIFIED EXPORT PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ทางสมาคมฯออกให้ เพื่อการส่งออกสุนัขไปยังต่างประเทศ(สุนัขที่มีบรรพบุรุษไม่ครบ 3ชว่งอายุทางสมาคมฯจะไม่ออกให้) โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯ(ในประเทศ)ต่อสม าคมฯ(ต่างประเทศ) ซึ่งสมาคมทั้งสองต้องเป็นสมาชิกรว่มองค์กรเช่น F.C.I หรือ A.K.U. หรือต่างองค์กรกันแต่มีศักยภาพ เช่น A.K.C.,K.U.,A.N.K.C.เป็นต้น แต่ในบางประเทศเช่น A.K.C.,A.N.K.C. ใช้CERTIFIED PEDIGREEและ EXPORT PEDIGREE เป็นใบเดียวกัน
การซื้อหรือการรับโอนสุนัขที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสมาคมฯ
ผู้ซื้อหรือผู้รับโอนจะต้องขอใบ REGISTARTION CERTIFICATE(ใบทะเบียนตัว)จากผู้ขายหรือผู้โอนดว้ย หากไม่มีใบทะเบียนตัวนี้ผู้ซื้อหรือผู้รับโอนจะไปขอโอนสุนัขตัว นั้นเป็นของตนเองต่อสมาคมฯไม่ได้ การรับโอนสุนัขจะต้องเสียค่าทำเนียมในการโอน 100บาทต่อตัว
การซื้อสุนัขจากต่างประเทศ
ถ้าผู้ซื้อต้องการนำสุนัขตัวนั้นมาขึ้ นทะเบียนต่อสมาคมฯ จะต้องนำEXPORT PEDIGREE หรือ REGISTRATION CERTIFICATE และCERTIFIED PEDIGREE ของสุนัขตัวนั้นที่ออกโดนสมาคมฯจากต่างประเทศ ไปขอขึ้นทะเบียนตัวต่อสมาคมฯได้ โดยเสียค่าทำเนียมในการขึ้นทะเบียน 100บาทต่อตัว
สำหรับสุนัขที่ไม่มีประวัติพ่อแม่ และสุนัขนั้นเป็นสุนัขพันธุ์แท้ ถ้าต้องการจะนำไปขึ้นทะเบียนตัวต่อสมาคมฯ ทางสมาคมฯจะขึ้นทะเบียนประเภท NORECORDสุนัขประเภทนี้จะไม่มีเพ็ดดีกรี ผู้ที่จะขอขึ้นทะเบียนสุนัขประเภทNORECORDให้นำภาพถ่ายสุนัข ด้านหน้า และดานข้างเต็มตัว อย่างละภาพไปขอขึ้นทะเบียน โดยเสียค่าทำเนียม 100 บาทต่อตัว
ผู้ที่ต้องการรับโอ นสุนัข ขึ้นทะเบียนตัวสุนัข จะต้องสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมฯแล้วจึงมีสิทธิ์ดำเนินการได้โดย เสียค่าบำรุงสมาคมฯประเภทสมาชิกสมทบ ค่าบำรุงปีละ200บาท
ใบเพ็ดดิกรี หรือใบรับรองพันธุ์ประวัติ(Certificate Pedigree)
จะบอกถึงบรรพบุรุษ (พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด) ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของลูกสุนัข ที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรม ลักษณะเด่น ด้อย มาจากบรรพบุรุษมากน้อยเพียงใด ดังนั้น เราจึงใช้ใบพันธุ์ประวัติเป็นข้อมูล หรือแนวทางการวางแผนที่จะผสมพันธุ์สุนัข
สำหรับใบเพ็ดดิกรีปลอม เป็นอุปสรรค์ในการวางแผนที่จะผสมพันธุ์สุนัข เพราะเราไม่รู้สายพันธุ์ว่ามาจากพ่อ-แม่ ตัวไหน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผสมพันธุ์สุนัขที่เรานิยมทำกัน คือพิจารณาคัดเลือกพ่อพันธุ์ที่เราชอบ และมีลักษณะเด่นบางอย่าง ที่สามารถแก้ไขลักษณะด้อยของแม่พันธุ์ เพื่อถ่ายถอดลักษณะที่ดีมาสู่ลูกสุนัข บางครั้งจำเป็นต้องศึกษาพันธุ์ประวัติประกอบกันด้วย
ใบพันธุ์ประวัติ ( PEDIGREE ) ที่ได้รับการรับรอง
ตัวอย่างเช่น
# ใบ EXPORT PEDIGREE (เอ็กซ์พอร์ทเพดดิกรี) ของประเทศที่เป็นสมาชิก F.C.I. , K.C. (อังกฤษ) , A.N.K.C. (ออสเตรเลีย) , N.Z.K.C. (นิวซีแลนด์) , A.K.C. (สหรัฐอเมริกา) เป็นต้น
# ใบ CERTIFIED PEDIGREE (ใบรับรองพันธุ์ประวัติ) ของสมาคมผู้นิยมสุนัขแห่งประเทศไทย (D.A.T.)
# ใบ CERTIFIED PEDIGREE (ใบรับรองพันธุ์ประวัติ) ของสมาคมพัฒนาพันธ์สุนัข (ประเทศไทย) (K.C.T.)
เพ็ดดีกรี แบ่งออกเป็น 3ชนิด
1.UNCERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีประเภทนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ผู้ผสมพันธุ์(BREEDER) ; ; เป็นผู้ออกให้ผู้ซื้อ ทราบที่มาของบรรพบุรุษของสุนัขตัวนั้นๆ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท ่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อการรับรองโดยสมาคมฯได้
2.CERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ออกโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข( ประเทศไทย) ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากบรรดาสมาชิกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้ เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯกับสมาชิก นอกจากนี้เพ็ดดีกรีชนิดนี้ทางสมาคมฯได้แบ่งแยกออกเป็น2ประเภทคื อ
2.1 COMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีเต็มใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขทั้งสายพ่อและสายแม่ เต็ม 3ชว่งอายุ ขณะนี้ทางสมาคมฯได้ใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี มว่งออ่น และมีสัญญลักษณ์ของสมาคมฯ, A.K.U. และ F.C.I.อยู่ในเพ็ดดีกรี
2.2 INCOMPLETE PEDIGREE หรือ UNCOMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีครึ่งใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขที่เป็นสายพ่อสายแม่ไม ่ครบ 3ชว่งอายุ หรือสายพ่อครบ 3ชว่งอายุแต่สายแม่ไม่ครบ 3ชว่งอายุ หรือสายพ่อไม่ครบ 3ชว่งอายุแต่สายแม่ครบ 3ชว่งอายุ โดยทางสมาคมฯจะใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี เขียวออ่น และมีเพียงสัญญลักษณ์ของสมาคมฯอยู่ในเพ็ดดีกรีเพียงอย่างเดียว
3.CERTIFIED EXPORT PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ทางสมาคมฯออกให้ เพื่อการส่งออกสุนัขไปยังต่างประเทศ(สุนัขที่มีบรรพบุรุษไม่ครบ 3ชว่งอายุทางสมาคมฯจะไม่ออกให้) โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯ(ในประเทศ)ต่อสม าคมฯ(ต่างประเทศ) ซึ่งสมาคมทั้งสองต้องเป็นสมาชิกรว่มองค์กรเช่น F.C.I หรือ A.K.U. หรือต่างองค์กรกันแต่มีศักยภาพ เช่น A.K.C.,K.U.,A.N.K.C.เป็นต้น แต่ในบางประเทศเช่น A.K.C.,A.N.K.C. ใช้CERTIFIED PEDIGREEและ EXPORT PEDIGREE เป็นใบเดียวกัน
ใบเพ็ดดีกรีบอกอะไรเราบ้าง
1.ชื่อตัวสุนัข,ชื่อคอกของผู้ผสมพันธุ์ ,ชื่อผู้ผสมพันธุ์
2.เพศ,ลักษณะขน,สีลวดลายต่างๆ
3.วันเดือนปีเกิด,เลขทะเบียนประจำตัวสุนัข,เลขสักเบอร์หู,การฝังเบอร์ไมโครชิป
4.รายชื่อบรรพบุรุษทั้งสายพ่อ และสายแม่
5.ประวัติการได้รับรางวัลสูงสุด
ใบ pedigree คือการบันทึกชื่อ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของสุนัขตัวนั้น ซึ่งทางซ้ายมือสุดคือ ชื่อของพ่อ-แม่ และไล่ไปทางขวามือตามลำดับ ใบ pedigree ที่เห็นกันทั่ว ๆ ไป จะมี 3 ช่วงอายุ (generation) และ 4 ช่วงอายุ ซึ่ง 4 ช่วงอายุนั้นจะบอกถึงบรรพบุรุษสายตัวพ่อ(เพศผู้)จำนวนรวม 15 ตัว เรียกว่าสายบน และบรรพบุรุษสายตัวแม่(เพศเมีย) จำนวนรวม 15 ตัว เรียกว่าสายล่างรวมแล้วจะมีชื่อสุนัขที่ปรากฏอยูในใบพันธุ์ประวัติทั้งหมด 30 ตัว ใน 4 ช่วงอายุ
ใบ pedigree มีความสำคัญอย่างไร ใบ pedigree นั้นจะสำคัญมาก ในการพัฒนาสายพันธุ์สุนัข เพราะจะเป็นสิ่งบอกเราได้ว่าสุนัขตัวนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เกิดจากากรผสมแบบใด (ผสมสายเลือดชิด การผสมในสายเลือด หรือการผสมข้ามสายเลือด) แต่การพิจารณาที่ใบ pedigree เพียงอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าสุนัขที่ดีมีคุณภาพในใบ pedigree จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาสู่ตัวลูกสุนัขได้ จึงควรพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น ตัวสุนัข และความสามารถในการถ่ายทอดของสุนัข อย่างไรก็ตามถ้าเราเป็นเพียงแค่ผู้รักสุนัขที่ต้องการเลี้ยงเพื่อเป็นพื่อ นคลายเหงา โดยไม่มีความรู้ในการพัฒนาสายพันธุ์ ไม่ใช่นักเพาะพันธุ์ หรือไม่รู้ถึงความสามารถในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของตัวสุนัขแต่ละตัวในใบ pedigree แล้ว ใบ pedigree นั้นก็จะเป็นแค่กระดาษธรรมดา ไม่มีความหมายอะไรเลย เพียงแค่จะได้ทราบว่าลูกสุนัขตัวนั้นได้รับการจดทะเบียนถูก
สำหรับใบเพ็ดดิกรีปลอม เป็นอุปสรรค์ในการวางแผนที่จะผสมพันธุ์สุนัข เพราะเราไม่รู้สายพันธุ์ว่ามาจากพ่อ-แม่ ตัวไหน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผสมพันธุ์สุนัขที่เรานิยมทำกัน คือพิจารณาคัดเลือกพ่อพันธุ์ที่เราชอบ และมีลักษณะเด่นบางอย่าง ที่สามารถแก้ไขลักษณะด้อยของแม่พันธุ์ เพื่อถ่ายถอดลักษณะที่ดีมาสู่ลูกสุนัข บางครั้งจำเป็นต้องศึกษาพันธุ์ประวัติประกอบกันด้วย
ใบพันธุ์ประวัติ ( PEDIGREE ) ที่ได้รับการรับรอง
ตัวอย่างเช่น
# ใบ EXPORT PEDIGREE (เอ็กซ์พอร์ทเพดดิกรี) ของประเทศที่เป็นสมาชิก F.C.I. , K.C. (อังกฤษ) , A.N.K.C. (ออสเตรเลีย) , N.Z.K.C. (นิวซีแลนด์) , A.K.C. (สหรัฐอเมริกา) เป็นต้น
# ใบ CERTIFIED PEDIGREE (ใบรับรองพันธุ์ประวัติ) ของสมาคมผู้นิยมสุนัขแห่งประเทศไทย (D.A.T.)
# ใบ CERTIFIED PEDIGREE (ใบรับรองพันธุ์ประวัติ) ของสมาคมพัฒนาพันธ์สุนัข (ประเทศไทย) (K.C.T.)
ทำไมถึงเรียกว่าใบเพ็ดดิกรีปลอม และปลอมกันอย่างไร
1. ใบเพ็ดดิกรี ที่ทำขึ้นมาเอง หรือทำเลียนแบบ พิมพ์ขึ้นมาเอง โดยไม่ได้รับการรับรองจากสมาคมต่างๆ เช่น ใบเพ็ดดิกรีที่ออกให้โดยทางร้านขายสุนัข, ออกให้โดยฟาร์มสุนัข เป็นต้น
2. ใบเพ็ดดิกรี ที่สวมลอย คือ การนำเอาใบเพ็ดดิกรีที่ได้รับการรับรอง มาให้ แต่สุนัขไม่ได้เกิดจากพ่อแม่พันธุ์ที่ระบุไว้ในใบเพ็ดฯ ดังนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการปลอมหรือหลอกลวง การตรวจสอบทำได้โดยการตรวจ DNA พ่อ-แม่ มาเทียบกับลูก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
ใบเพ็ดดิกรี จะสำคัญหรือไม่ อยู่ที่การนำไปใช้ประโยชน์ และอยู่ที่ความพึ่งพอใจของคุณ เป็นข้อกำหนดตกลงที่เกิดขึ้นมา โดยมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจการค้า ด้านสังคม ความเชิดหน้าชูตา
ส่วนให่ญจะเข้าใจว่าสุนัขที่มีเพ็ดดีกรี เป็นสุนัขที่ดีเลิศ มีสกุลรุนชาติ ที่แท้จริงแล้วเพ็ดดีกรีคือเอกสารบันทึกที่มาแห่งต้นตระกูลของส ุนัขพันธุ์แท้ โดยทั่วไปจะแสดงไว้3ชว่งอายุ
ประโยชน์ของเพ็ดดีกรีคือ
-เพื่อประโยชน์ในการศึกษาที่มาแห่งสายพันธุ์สุนัข
-เพื่อประโยชน์ในการเลือกคู่ให้สุนัข
-เพื่อพิสูจน์ความสามารถในการถ่ายทอดสายเลือดของพ่อพันธุ์แม่พั นธุ์
-เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการทำลายสายพันธุ์หรือกา รเสื่อมของสายเลือด
-เพื่อพิสูจน์ความสามารถและความตั้งใจของผู้ผสมพันธุ์(BREEDER)
เพ็ดดีกรี แบ่งออกเป็น 3ชนิด
1.UNCERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีประเภทนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ผู้ผสมพันธุ์(BREEDER) ; ; เป็นผู้ออกให้ผู้ซื้อ ทราบที่มาของบรรพบุรุษของสุนัขตัวนั้นๆ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท ่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อการรับรองโดยสมาคมฯได้
2.CERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ออกโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข( ประเทศไทย) ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากบรรดาสมาชิกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้ เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯกับสมาชิก นอกจากนี้เพ็ดดีกรีชนิดนี้ทางสมาคมฯได้แบ่งแยกออกเป็น2ประเภทคื อ
2.1 COMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีเต็มใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขทั้งสายพ่อและสายแม่ เต็ม 3ชว่งอายุ ขณะนี้ทางสมาคมฯได้ใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี มว่งออ่น และมีสัญญลักษณ์ของสมาคมฯ, A.K.U. และ F.C.I.อยู่ในเพ็ดดีกรี
2.2 INCOMPLETE PEDIGREE หรือ UNCOMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีครึ่งใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขที่เป็นสายพ่อสายแม่ไม ่ครบ 3ชว่งอายุ หรือสายพ่อครบ 3ชว่งอายุแต่สายแม่ไม่ครบ 3ชว่งอายุ หรือสายพ่อไม่ครบ 3ชว่งอายุแต่สายแม่ครบ 3ชว่งอายุ โดยทางสมาคมฯจะใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี เขียวออ่น และมีเพียงสัญญลักษณ์ของสมาคมฯอยู่ในเพ็ดดีกรีเพียงอย่างเดียว
3.CERTIFIED EXPORT PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ทางสมาคมฯออกให้ เพื่อการส่งออกสุนัขไปยังต่างประเทศ(สุนัขที่มีบรรพบุรุษไม่ครบ 3ชว่งอายุทางสมาคมฯจะไม่ออกให้) โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯ(ในประเทศ)ต่อสม าคมฯ(ต่างประเทศ) ซึ่งสมาคมทั้งสองต้องเป็นสมาชิกรว่มองค์กรเช่น F.C.I หรือ A.K.U. หรือต่างองค์กรกันแต่มีศักยภาพ เช่น A.K.C.,K.U.,A.N.K.C.เป็นต้น แต่ในบางประเทศเช่น A.K.C.,A.N.K.C. ใช้CERTIFIED PEDIGREEและ EXPORT PEDIGREE เป็นใบเดียวกัน
การซื้อหรือการรับโอนสุนัขที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสมาคมฯ
ผู้ซื้อหรือผู้รับโอนจะต้องขอใบ REGISTARTION CERTIFICATE(ใบทะเบียนตัว)จากผู้ขายหรือผู้โอนดว้ย หากไม่มีใบทะเบียนตัวนี้ผู้ซื้อหรือผู้รับโอนจะไปขอโอนสุนัขตัว นั้นเป็นของตนเองต่อสมาคมฯไม่ได้ การรับโอนสุนัขจะต้องเสียค่าทำเนียมในการโอน 100บาทต่อตัว
การซื้อสุนัขจากต่างประเทศ
ถ้าผู้ซื้อต้องการนำสุนัขตัวนั้นมาขึ้ นทะเบียนต่อสมาคมฯ จะต้องนำEXPORT PEDIGREE หรือ REGISTRATION CERTIFICATE และCERTIFIED PEDIGREE ของสุนัขตัวนั้นที่ออกโดนสมาคมฯจากต่างประเทศ ไปขอขึ้นทะเบียนตัวต่อสมาคมฯได้ โดยเสียค่าทำเนียมในการขึ้นทะเบียน 100บาทต่อตัว
สำหรับสุนัขที่ไม่มีประวัติพ่อแม่ และสุนัขนั้นเป็นสุนัขพันธุ์แท้ ถ้าต้องการจะนำไปขึ้นทะเบียนตัวต่อสมาคมฯ ทางสมาคมฯจะขึ้นทะเบียนประเภท NORECORDสุนัขประเภทนี้จะไม่มีเพ็ดดีกรี ผู้ที่จะขอขึ้นทะเบียนสุนัขประเภทNORECORDให้นำภาพถ่ายสุนัข ด้านหน้า และดานข้างเต็มตัว อย่างละภาพไปขอขึ้นทะเบียน โดยเสียค่าทำเนียม 100 บาทต่อตัว
ผู้ที่ต้องการรับโอ นสุนัข ขึ้นทะเบียนตัวสุนัข จะต้องสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมฯแล้วจึงมีสิทธิ์ดำเนินการได้โดย เสียค่าบำรุงสมาคมฯประเภทสมาชิกสมทบ ค่าบำรุงปีละ200บาท
ใบเพ็ดดิกรี หรือใบรับรองพันธุ์ประวัติ(Certificate Pedigree)
จะบอกถึงบรรพบุรุษ (พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด) ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของลูกสุนัข ที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรม ลักษณะเด่น ด้อย มาจากบรรพบุรุษมากน้อยเพียงใด ดังนั้น เราจึงใช้ใบพันธุ์ประวัติเป็นข้อมูล หรือแนวทางการวางแผนที่จะผสมพันธุ์สุนัข
สำหรับใบเพ็ดดิกรีปลอม เป็นอุปสรรค์ในการวางแผนที่จะผสมพันธุ์สุนัข เพราะเราไม่รู้สายพันธุ์ว่ามาจากพ่อ-แม่ ตัวไหน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผสมพันธุ์สุนัขที่เรานิยมทำกัน คือพิจารณาคัดเลือกพ่อพันธุ์ที่เราชอบ และมีลักษณะเด่นบางอย่าง ที่สามารถแก้ไขลักษณะด้อยของแม่พันธุ์ เพื่อถ่ายถอดลักษณะที่ดีมาสู่ลูกสุนัข บางครั้งจำเป็นต้องศึกษาพันธุ์ประวัติประกอบกันด้วย
ใบพันธุ์ประวัติ ( PEDIGREE ) ที่ได้รับการรับรอง
ตัวอย่างเช่น
# ใบ EXPORT PEDIGREE (เอ็กซ์พอร์ทเพดดิกรี) ของประเทศที่เป็นสมาชิก F.C.I. , K.C. (อังกฤษ) , A.N.K.C. (ออสเตรเลีย) , N.Z.K.C. (นิวซีแลนด์) , A.K.C. (สหรัฐอเมริกา) เป็นต้น
# ใบ CERTIFIED PEDIGREE (ใบรับรองพันธุ์ประวัติ) ของสมาคมผู้นิยมสุนัขแห่งประเทศไทย (D.A.T.)
# ใบ CERTIFIED PEDIGREE (ใบรับรองพันธุ์ประวัติ) ของสมาคมพัฒนาพันธ์สุนัข (ประเทศไทย) (K.C.T.)
เพ็ดดีกรี แบ่งออกเป็น 3ชนิด
1.UNCERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีประเภทนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ผู้ผสมพันธุ์(BREEDER) ; ; เป็นผู้ออกให้ผู้ซื้อ ทราบที่มาของบรรพบุรุษของสุนัขตัวนั้นๆ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท ่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อการรับรองโดยสมาคมฯได้
2.CERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ออกโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข( ประเทศไทย) ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากบรรดาสมาชิกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้ เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯกับสมาชิก นอกจากนี้เพ็ดดีกรีชนิดนี้ทางสมาคมฯได้แบ่งแยกออกเป็น2ประเภทคื อ
2.1 COMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีเต็มใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขทั้งสายพ่อและสายแม่ เต็ม 3ชว่งอายุ ขณะนี้ทางสมาคมฯได้ใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี มว่งออ่น และมีสัญญลักษณ์ของสมาคมฯ, A.K.U. และ F.C.I.อยู่ในเพ็ดดีกรี
2.2 INCOMPLETE PEDIGREE หรือ UNCOMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีครึ่งใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขที่เป็นสายพ่อสายแม่ไม ่ครบ 3ชว่งอายุ หรือสายพ่อครบ 3ชว่งอายุแต่สายแม่ไม่ครบ 3ชว่งอายุ หรือสายพ่อไม่ครบ 3ชว่งอายุแต่สายแม่ครบ 3ชว่งอายุ โดยทางสมาคมฯจะใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี เขียวออ่น และมีเพียงสัญญลักษณ์ของสมาคมฯอยู่ในเพ็ดดีกรีเพียงอย่างเดียว
3.CERTIFIED EXPORT PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ทางสมาคมฯออกให้ เพื่อการส่งออกสุนัขไปยังต่างประเทศ(สุนัขที่มีบรรพบุรุษไม่ครบ 3ชว่งอายุทางสมาคมฯจะไม่ออกให้) โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯ(ในประเทศ)ต่อสม าคมฯ(ต่างประเทศ) ซึ่งสมาคมทั้งสองต้องเป็นสมาชิกรว่มองค์กรเช่น F.C.I หรือ A.K.U. หรือต่างองค์กรกันแต่มีศักยภาพ เช่น A.K.C.,K.U.,A.N.K.C.เป็นต้น แต่ในบางประเทศเช่น A.K.C.,A.N.K.C. ใช้CERTIFIED PEDIGREEและ EXPORT PEDIGREE เป็นใบเดียวกัน
ใบเพ็ดดีกรีบอกอะไรเราบ้าง
1.ชื่อตัวสุนัข,ชื่อคอกของผู้ผสมพันธุ์ ,ชื่อผู้ผสมพันธุ์
2.เพศ,ลักษณะขน,สีลวดลายต่างๆ
3.วันเดือนปีเกิด,เลขทะเบียนประจำตัวสุนัข,เลขสักเบอร์หู,การฝังเบอร์ไมโครชิป
4.รายชื่อบรรพบุรุษทั้งสายพ่อ และสายแม่
5.ประวัติการได้รับรางวัลสูงสุด
ใบ pedigree คือการบันทึกชื่อ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของสุนัขตัวนั้น ซึ่งทางซ้ายมือสุดคือ ชื่อของพ่อ-แม่ และไล่ไปทางขวามือตามลำดับ ใบ pedigree ที่เห็นกันทั่ว ๆ ไป จะมี 3 ช่วงอายุ (generation) และ 4 ช่วงอายุ ซึ่ง 4 ช่วงอายุนั้นจะบอกถึงบรรพบุรุษสายตัวพ่อ(เพศผู้)จำนวนรวม 15 ตัว เรียกว่าสายบน และบรรพบุรุษสายตัวแม่(เพศเมีย) จำนวนรวม 15 ตัว เรียกว่าสายล่างรวมแล้วจะมีชื่อสุนัขที่ปรากฏอยูในใบพันธุ์ประวัติทั้งหมด 30 ตัว ใน 4 ช่วงอายุ
ใบ pedigree มีความสำคัญอย่างไร ใบ pedigree นั้นจะสำคัญมาก ในการพัฒนาสายพันธุ์สุนัข เพราะจะเป็นสิ่งบอกเราได้ว่าสุนัขตัวนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เกิดจากากรผสมแบบใด (ผสมสายเลือดชิด การผสมในสายเลือด หรือการผสมข้ามสายเลือด) แต่การพิจารณาที่ใบ pedigree เพียงอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าสุนัขที่ดีมีคุณภาพในใบ pedigree จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาสู่ตัวลูกสุนัขได้ จึงควรพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น ตัวสุนัข และความสามารถในการถ่ายทอดของสุนัข อย่างไรก็ตามถ้าเราเป็นเพียงแค่ผู้รักสุนัขที่ต้องการเลี้ยงเพื่อเป็นพื่อ นคลายเหงา โดยไม่มีความรู้ในการพัฒนาสายพันธุ์ ไม่ใช่นักเพาะพันธุ์ หรือไม่รู้ถึงความสามารถในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของตัวสุนัขแต่ละตัวในใบ pedigree แล้ว ใบ pedigree นั้นก็จะเป็นแค่กระดาษธรรมดา ไม่มีความหมายอะไรเลย เพียงแค่จะได้ทราบว่าลูกสุนัขตัวนั้นได้รับการจดทะเบียนถูก
บี้เห็บ
(ผศ.ดร.สัมฤทธิ์ สิงห์อาษา)
ยัง มีผู้เลี้ยงสุนัขมากมายหลายท่าน ที่เชื่อว่าเมื่อบี้เห็บแล้วจะทำให้เกิดเห็บมากมายเป็นทวีคูณ ท่านเหล่านั้นจึงสั่งสอนลูกหลานของตนต่อๆ กันมาว่า เมื่อเก็บเห็บออกจากตัวสุนัขแล้ว อย่า บี้เห็บเป็นอันขาด ประกอบกับเคยมีนักเขียนการ์ตูนชื่อดังท่านหนึ่ง เขียนการ์ตูนไว้ในหนังสือrพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง เมื่อประมาณ เกือบยี่สิบปีมาแล้ว ว่าการบี้เห็บตัวเมียที่ตัวเป่งนั้น จะทำให้เกิดลูกเห็บขึ้นเป็นจำนวนมหาศาล ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อที่คลาดเคลื่อนไปจากความจริง ความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ เห็บแข็งตัวเมียจะวางไข่เพียงครั้งเดียวเป็นจำนวนมากมาย อาจมากถึง 3,000-4,000 ฟอง และเมื่อวางไข่จนหมดท้องแล้ว เห็บตัวนั้นก็จะตายไป แต่ก่อนที่จะวางไข่ได้ มันจะต้องได้รับการผสมพันธุ์และต้องกินเลือดสุนัขจนตัวเป่งเต็มที่เสียก่อน ถ้ายังไม่ได้กินเลือดหรือกินยังไม่เพียงพอ ก็ยังไม่สามารถวางไข่ได้ เมื่อจะวางไข่ เห็บตัวเมียนั้นจะต้องหล่นจากตัวสัตว์ แล้วหาที่ปลอดภัย เช่นใต้ก้อนดินหรือก้อนหินบนพื้น หรืออาจเป็นร่องตามกำแพงหรือรอยแตกของไม้ใกล้พื้นดิน ในการวางไข่ จะใช้เวลาหลายวัน อาจนานหลายสัปดาห์ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม กระบวนการวางไข่ มีความสลับซับซ้อนซึ่งจะไม่ขออธิบายในที่นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ไข่ที่ถูกปล่อยออกมาแต่ละฟอง จะต้องถูกเคลือบไว้ด้วยสารคล้ายไขซึ่งกันน้ำไม่ให้ ระเหยออกจากไข่ไว้ชั้นหนึ่งก่อน หลังจากนั้น ไข่จะถูกเคลือบไว้ด้วยสารที่มีคุณสมบัติป้องกันการเกิด oxidation (=การทำปฏิกริยากับออกซิเจนในอากาศ) ไว้อีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้นถ้าเห็บ ที่มีไข่ เต็มท้องถูกบี้จนแตกเลือดทะลักออกมา และอาจมีไข่บางส่วนไม่ถูกทำลาย ก็มิได้หมายความว่าไข่เหล่านั้นจะฟักออกเป็นตัวอ่อนได้ ทั้งนี้เพราะไข่เหล่านั้น ไม่ได้ถูกเคลือบด้วยสารทั้ง 2 ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น ไข่เหล่านั้น จึงแห้งจากความร้อนของอากาศและฝ่อไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ใหญ่แนะนำเด็กๆ ว่าอย่าบี้เห็บ อาจจะมีเหตุผลอื่นแฝงอยู่ก็ได้ เช่น เมื่อบี้เห็บแล้ว อาจจะทำให้พื้นเปื้อนเลือดที่ทะลักออกจากตัวเห็บ ทำให้พื้นเป็นรอยด่าง-ดวง ไม่น่าดู ทางเลือกอื่น ก็คือ เมื่อเก็บเห็บได้มากในแต่ละครั้ง ก็อาจลวกด้วยน้ำเดือด เห็บก็จะตายหมด หรืออาจเก็บใส่ขวดแอลกอฮอล์หรือน้ำมันก๊าด เห็บจะตายและถูกดองไว้ ไม่เน่าเปื่อย เมื่อเก็บเสร็จแล้ว ปิดฝาขวดไว้ให้แน่น และสามารถนำมาใส่เห็บในการเก็บครั้งต่อไปได้อีก ในบางบ้านที่เลี้ยงไก่ไว้ เราอาจโรยเห็บที่เก็บมาได้ ให้ไก่จิกกินก็ได้ เชื่อว่าไม่ทำให้ไก่เกิดการติดเชื้อจากเห็บได้
line dogline dogline dogline dogline dog
ยัง มีผู้เลี้ยงสุนัขมากมายหลายท่าน ที่เชื่อว่าเมื่อบี้เห็บแล้วจะทำให้เกิดเห็บมากมายเป็นทวีคูณ ท่านเหล่านั้นจึงสั่งสอนลูกหลานของตนต่อๆ กันมาว่า เมื่อเก็บเห็บออกจากตัวสุนัขแล้ว อย่า บี้เห็บเป็นอันขาด ประกอบกับเคยมีนักเขียนการ์ตูนชื่อดังท่านหนึ่ง เขียนการ์ตูนไว้ในหนังสือrพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง เมื่อประมาณ เกือบยี่สิบปีมาแล้ว ว่าการบี้เห็บตัวเมียที่ตัวเป่งนั้น จะทำให้เกิดลูกเห็บขึ้นเป็นจำนวนมหาศาล ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อที่คลาดเคลื่อนไปจากความจริง ความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ เห็บแข็งตัวเมียจะวางไข่เพียงครั้งเดียวเป็นจำนวนมากมาย อาจมากถึง 3,000-4,000 ฟอง และเมื่อวางไข่จนหมดท้องแล้ว เห็บตัวนั้นก็จะตายไป แต่ก่อนที่จะวางไข่ได้ มันจะต้องได้รับการผสมพันธุ์และต้องกินเลือดสุนัขจนตัวเป่งเต็มที่เสียก่อน ถ้ายังไม่ได้กินเลือดหรือกินยังไม่เพียงพอ ก็ยังไม่สามารถวางไข่ได้ เมื่อจะวางไข่ เห็บตัวเมียนั้นจะต้องหล่นจากตัวสัตว์ แล้วหาที่ปลอดภัย เช่นใต้ก้อนดินหรือก้อนหินบนพื้น หรืออาจเป็นร่องตามกำแพงหรือรอยแตกของไม้ใกล้พื้นดิน ในการวางไข่ จะใช้เวลาหลายวัน อาจนานหลายสัปดาห์ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม กระบวนการวางไข่ มีความสลับซับซ้อนซึ่งจะไม่ขออธิบายในที่นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ไข่ที่ถูกปล่อยออกมาแต่ละฟอง จะต้องถูกเคลือบไว้ด้วยสารคล้ายไขซึ่งกันน้ำไม่ให้ ระเหยออกจากไข่ไว้ชั้นหนึ่งก่อน หลังจากนั้น ไข่จะถูกเคลือบไว้ด้วยสารที่มีคุณสมบัติป้องกันการเกิด oxidation (=การทำปฏิกริยากับออกซิเจนในอากาศ) ไว้อีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้นถ้าเห็บ ที่มีไข่ เต็มท้องถูกบี้จนแตกเลือดทะลักออกมา และอาจมีไข่บางส่วนไม่ถูกทำลาย ก็มิได้หมายความว่าไข่เหล่านั้นจะฟักออกเป็นตัวอ่อนได้ ทั้งนี้เพราะไข่เหล่านั้น ไม่ได้ถูกเคลือบด้วยสารทั้ง 2 ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น ไข่เหล่านั้น จึงแห้งจากความร้อนของอากาศและฝ่อไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ใหญ่แนะนำเด็กๆ ว่าอย่าบี้เห็บ อาจจะมีเหตุผลอื่นแฝงอยู่ก็ได้ เช่น เมื่อบี้เห็บแล้ว อาจจะทำให้พื้นเปื้อนเลือดที่ทะลักออกจากตัวเห็บ ทำให้พื้นเป็นรอยด่าง-ดวง ไม่น่าดู ทางเลือกอื่น ก็คือ เมื่อเก็บเห็บได้มากในแต่ละครั้ง ก็อาจลวกด้วยน้ำเดือด เห็บก็จะตายหมด หรืออาจเก็บใส่ขวดแอลกอฮอล์หรือน้ำมันก๊าด เห็บจะตายและถูกดองไว้ ไม่เน่าเปื่อย เมื่อเก็บเสร็จแล้ว ปิดฝาขวดไว้ให้แน่น และสามารถนำมาใส่เห็บในการเก็บครั้งต่อไปได้อีก ในบางบ้านที่เลี้ยงไก่ไว้ เราอาจโรยเห็บที่เก็บมาได้ ให้ไก่จิกกินก็ได้ เชื่อว่าไม่ทำให้ไก่เกิดการติดเชื้อจากเห็บได้
line dogline dogline dogline dogline dog
ผมคือหมาของนาย
ผมคือหมาของนาย
ผมคือหมาของนายครับ
ผมคือหมาของนายครับ
ผมมีอะไรอยากกระซิบให้นายฟังสักหน่อย
คือผมรู้ครับว่านายเป็นมนุษย์ที่มีชิวิตยุ่งเหยิง
ต้องทำงาน ต้องเลี้ยงดูลูกหลาน
ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยการวิ่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
บ่อยครั้งที่พวกเขาวิ่งเร็วเกินไป
บ่อยครั้งที่วิ่งเร็วเกินไปจนไม่ตระหนักว่าอะไรคือสาระสำคัญของชีวิต
นายมองลงมาที่ผมสิครับ
ระหว่างที่นายนั่งอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์
นายเห็นตาสีน้ำตาลของผมที่กำลังจ้องนายอยู่ไหม?
นายเห็นไหมว่าตาของผมเริ่มฝ้าฟางแล้ว
มันเกิดจากอายุที่มากขึ้นครับ
ขนสีเทาเริ่มปกคลุมรอบปากและจมูกของผม
นั่น นายยิ้มให้ผมแล้ว
ผมเห็นสายตาแห่งความรักที่นายมองผม
นายเห็นอะไรในตาของผมบ้างไหมครับ?
นายเห็นความในใจของผมไหม?
นายเห็นหัวใจที่รักนาย รักมากว่าที่ใครในโลกนี้จะรักได้ไหม?
หัวใจที่พร้อมจะมองข้ามความผิดเล็กน้อยทุกอย่างที่นายกระทำ
ผมขอเพียงอย่างเดียว
ขอให้นายใช้เวลาสักเล็กน้อยมาอยู่กับผม
ผมรู้ว่าหลายครั้งที่นายโศกเศร้าเมื่อได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนๆ ผมที่จากไป
นายครับ บางครั้งพวกเราก็ตายเร็วเกินไป กระทันหันจนนายรับการจากไปไม่ได้
บางทีพวกเราก็ค่อยๆ แก่ลงตรงหน้านาย
กว่านายจะรู้สึกตัว เวลาของพวกเราก็มาถึงเสียแล้ว
แต่เมื่อพวกเรามองนายผ่านสายตาฝ้าฟางที่ปกคลุมด้วยน้ำตา
พวกเรารู้ว่ามีความรักอยู่ที่นั่นเสมอ
แม้ว่าเราจะต้องเข้าสู่นิทราอันยาวนาน เดินทางไปสู่ที่แสนไกล
ผมอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันพรุ่งนี้
ผมอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ในอาทิตย์หน้า
วันนั้นนายคงจะเช็ดน้ำตา เช่นมนุษย์ทั่วไปกระทำเมื่อทุกข์ทรมานจากความเสียใจ
นายอาจจะโกรธตัวเองที่ไม่สามารถให้เวลากับผมเพิ่มได้อีกสักวัน
เพราะว่าผมรักนาย..วิญญานผมจึงรับรู้ถึงความเศร้าของนายและทุกข์มรมานไปกับมันเช่นกัน
แต่ตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกัน
นายมานั่งข้างๆ ผมบนพื้นนี่เถอะครับ
แล้วมองลึกลงไปในตาของผม
นายเห็นอะไรครับ?
ถ้านายตั้งใจมองให้ลึกพอ
นายกับผมจะได้คุยกัน
คุยกันด้วยหัวใจ
ไม่ใช่ในฐานะผู้เหนือกว่า ไม่ใช่ในฐานะผู้ฝึกสอน หรือไม่ใช่ในฐานะพ่อแม่
แต่ในฐานะวิญญานที่เปี่ยมด้วยชีวิต
มองตากันและกันและสื่อสารกัน
บางทีผมจะเล่าเรื่องคสวามสนุกในการวิ่งไล่ลูกเทนนิสให้นายฟัง
บางทีผมอาจจะเล่าเรื่องลึกลับเกี่ยวกับตัวผม
แต่บางทีก็อาจจะเป็นเรื่องชิวิตธรรมดาทั่วไปก็ได้
นายตัดสินใจที่จะให้ผมอยู่เคียงข้าง
ก็เพราะว่านายต้องการแบ่งปันความรู้สึกกับใครสักคนที่แตกต่างจากนายไม่ใช่หรือ
ผมอยู่นี่แล้วครับ
ผมเป็นหมาตัวหนึ่ง
แต่ผมมีชีวิต มีอารมณ์ มีความรู้สึก
และผมสามารถสนองความต้องการของนายได้
ผมไม่ได้มองนายเป็น หมาที่ยืนสองขา หรอกครับ
ผมรู้ว่านายเป็นมนุษย์ แต่ผมก็ยังรักนายอยู่ดี
มานั่งกับผมบนพื้นนี่เถอะครับ
มาสู่โลกของผม
ปล่อยให้เวลาในชีวิตของนายช้าลงสัก 15 นาที
มองลึกลงไปในตาผม กระซิบข้างหูผม
พูดกับผมด้วยหัวใจของนาย ด้วยความสุข
เพื่อผมจะได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของนายบ้าง
บางทีพรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก
แต่วันนี้เรายังมีกันและกัน
ชีวิตนี้มันสั้นนัก.
มานั่งข้างผมเดี๋ยวนี้นะครับนาย และแบ่งปันเวลาที่มีค่านี้ร่วมกัน
รักนาย ในนามของหมาทุกพันธ์
หมาของนายครับ
line dogline dogline dogline dogline dog
ผมคือหมาของนายครับ
ผมคือหมาของนายครับ
ผมมีอะไรอยากกระซิบให้นายฟังสักหน่อย
คือผมรู้ครับว่านายเป็นมนุษย์ที่มีชิวิตยุ่งเหยิง
ต้องทำงาน ต้องเลี้ยงดูลูกหลาน
ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยการวิ่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
บ่อยครั้งที่พวกเขาวิ่งเร็วเกินไป
บ่อยครั้งที่วิ่งเร็วเกินไปจนไม่ตระหนักว่าอะไรคือสาระสำคัญของชีวิต
นายมองลงมาที่ผมสิครับ
ระหว่างที่นายนั่งอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์
นายเห็นตาสีน้ำตาลของผมที่กำลังจ้องนายอยู่ไหม?
นายเห็นไหมว่าตาของผมเริ่มฝ้าฟางแล้ว
มันเกิดจากอายุที่มากขึ้นครับ
ขนสีเทาเริ่มปกคลุมรอบปากและจมูกของผม
นั่น นายยิ้มให้ผมแล้ว
ผมเห็นสายตาแห่งความรักที่นายมองผม
นายเห็นอะไรในตาของผมบ้างไหมครับ?
นายเห็นความในใจของผมไหม?
นายเห็นหัวใจที่รักนาย รักมากว่าที่ใครในโลกนี้จะรักได้ไหม?
หัวใจที่พร้อมจะมองข้ามความผิดเล็กน้อยทุกอย่างที่นายกระทำ
ผมขอเพียงอย่างเดียว
ขอให้นายใช้เวลาสักเล็กน้อยมาอยู่กับผม
ผมรู้ว่าหลายครั้งที่นายโศกเศร้าเมื่อได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนๆ ผมที่จากไป
นายครับ บางครั้งพวกเราก็ตายเร็วเกินไป กระทันหันจนนายรับการจากไปไม่ได้
บางทีพวกเราก็ค่อยๆ แก่ลงตรงหน้านาย
กว่านายจะรู้สึกตัว เวลาของพวกเราก็มาถึงเสียแล้ว
แต่เมื่อพวกเรามองนายผ่านสายตาฝ้าฟางที่ปกคลุมด้วยน้ำตา
พวกเรารู้ว่ามีความรักอยู่ที่นั่นเสมอ
แม้ว่าเราจะต้องเข้าสู่นิทราอันยาวนาน เดินทางไปสู่ที่แสนไกล
ผมอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันพรุ่งนี้
ผมอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ในอาทิตย์หน้า
วันนั้นนายคงจะเช็ดน้ำตา เช่นมนุษย์ทั่วไปกระทำเมื่อทุกข์ทรมานจากความเสียใจ
นายอาจจะโกรธตัวเองที่ไม่สามารถให้เวลากับผมเพิ่มได้อีกสักวัน
เพราะว่าผมรักนาย..วิญญานผมจึงรับรู้ถึงความเศร้าของนายและทุกข์มรมานไปกับมันเช่นกัน
แต่ตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกัน
นายมานั่งข้างๆ ผมบนพื้นนี่เถอะครับ
แล้วมองลึกลงไปในตาของผม
นายเห็นอะไรครับ?
ถ้านายตั้งใจมองให้ลึกพอ
นายกับผมจะได้คุยกัน
คุยกันด้วยหัวใจ
ไม่ใช่ในฐานะผู้เหนือกว่า ไม่ใช่ในฐานะผู้ฝึกสอน หรือไม่ใช่ในฐานะพ่อแม่
แต่ในฐานะวิญญานที่เปี่ยมด้วยชีวิต
มองตากันและกันและสื่อสารกัน
บางทีผมจะเล่าเรื่องคสวามสนุกในการวิ่งไล่ลูกเทนนิสให้นายฟัง
บางทีผมอาจจะเล่าเรื่องลึกลับเกี่ยวกับตัวผม
แต่บางทีก็อาจจะเป็นเรื่องชิวิตธรรมดาทั่วไปก็ได้
นายตัดสินใจที่จะให้ผมอยู่เคียงข้าง
ก็เพราะว่านายต้องการแบ่งปันความรู้สึกกับใครสักคนที่แตกต่างจากนายไม่ใช่หรือ
ผมอยู่นี่แล้วครับ
ผมเป็นหมาตัวหนึ่ง
แต่ผมมีชีวิต มีอารมณ์ มีความรู้สึก
และผมสามารถสนองความต้องการของนายได้
ผมไม่ได้มองนายเป็น หมาที่ยืนสองขา หรอกครับ
ผมรู้ว่านายเป็นมนุษย์ แต่ผมก็ยังรักนายอยู่ดี
มานั่งกับผมบนพื้นนี่เถอะครับ
มาสู่โลกของผม
ปล่อยให้เวลาในชีวิตของนายช้าลงสัก 15 นาที
มองลึกลงไปในตาผม กระซิบข้างหูผม
พูดกับผมด้วยหัวใจของนาย ด้วยความสุข
เพื่อผมจะได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของนายบ้าง
บางทีพรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก
แต่วันนี้เรายังมีกันและกัน
ชีวิตนี้มันสั้นนัก.
มานั่งข้างผมเดี๋ยวนี้นะครับนาย และแบ่งปันเวลาที่มีค่านี้ร่วมกัน
รักนาย ในนามของหมาทุกพันธ์
หมาของนายครับ
line dogline dogline dogline dogline dog
กฏทองของสุนัข
กฏทองของสุนัข
กฏทองของสุนัข
1. ชีวิตของฉัน อย่างมากก็สิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้น การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน จึงโปรดคิดสักนิด ...ก่อนจะรับฉันเข้ามาในชีวิต
2.ให้เวลาฉันสักหน่อย เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจน ว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน
3. จงเชื่อมั่นในตัวฉัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับความเป็นอยู่ของฉัน
4. อย่าโกรธฉันให้นานนัก และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง ...เธอมีทั้งหน้าที่การสงาน ความบันเทิง และมิตรสหาย แต่ฉันนั้น...มีเพียงเธอ
5. พูดกับฉันบ้าง แม้ฉันจะไม่เข้าใจในคำพูด แต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง
6.พึงระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรกับฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมเลือน
7. โปรดอย่าทุบตีฉัน เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้ แต่ฉันก้อสามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเธอเลย
8. ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง เกียจคร้าน ขอจงได้ถามตัวเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปรกติกับตัวฉันหรือไม่ บางทีอาจเกิดจากเรื่องของอาหาร ถูกทอดทิ้งไว้นานเกินไป หรือหัวใจฉันแก่ชราและอ่อนล้า
9. ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วยเพราะวันหนึ่งเธอต้องเป็นเช่นนั้น
10.อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า ... ฉันทนดูไม่ได้ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเลย เพราะเรื่องราวทั้งหมดง่ายขึ้น...หากเธออยู่ด้วย สุดท้ายโปรดรำลึกเสมอว่า
"ฉันรักเธอ"
กฏทองของสุนัข
1. ชีวิตของฉัน อย่างมากก็สิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้น การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน จึงโปรดคิดสักนิด ...ก่อนจะรับฉันเข้ามาในชีวิต
2.ให้เวลาฉันสักหน่อย เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจน ว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน
3. จงเชื่อมั่นในตัวฉัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับความเป็นอยู่ของฉัน
4. อย่าโกรธฉันให้นานนัก และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง ...เธอมีทั้งหน้าที่การสงาน ความบันเทิง และมิตรสหาย แต่ฉันนั้น...มีเพียงเธอ
5. พูดกับฉันบ้าง แม้ฉันจะไม่เข้าใจในคำพูด แต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง
6.พึงระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรกับฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมเลือน
7. โปรดอย่าทุบตีฉัน เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้ แต่ฉันก้อสามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเธอเลย
8. ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง เกียจคร้าน ขอจงได้ถามตัวเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปรกติกับตัวฉันหรือไม่ บางทีอาจเกิดจากเรื่องของอาหาร ถูกทอดทิ้งไว้นานเกินไป หรือหัวใจฉันแก่ชราและอ่อนล้า
9. ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วยเพราะวันหนึ่งเธอต้องเป็นเช่นนั้น
10.อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า ... ฉันทนดูไม่ได้ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเลย เพราะเรื่องราวทั้งหมดง่ายขึ้น...หากเธออยู่ด้วย สุดท้ายโปรดรำลึกเสมอว่า
"ฉันรักเธอ"
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553
การตรวจว่าน้องหมาท้องหรือไม่
หลังจากที่ดาด้ามีแฟนแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาลุ้นว่าจะท้องหรือเปล่า
จากวันที่ผสมถึงวันนี้ (1/5/53) ก็ 26 วันพอดี
สังเกตุท้องก็เหมือนจะขยายหน่อยนึง
แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เพราะดาด้าเป็นหมาอ้วน กินเก่ง มีพุงอยู่แล้ว
กะว่าเดี๋ยวครบเดือนเมื่อไหร่ จะพาไปอัลตร้าซาวนด์ดูค่ะว่าท้องมั๊ย
ถ้าท้องจริงจะได้เตรียมตัวถูก ไม่ต้องมานั่งลุ้นให้เหนื่อยใจ
การตรวจท้องแม่หมาวิธีปกติที่ทำคือ
การคลำท้อง
ซึ่งถ้าทำโดยหมอผู้ชำนาญแล้ว
จะบอกได้ตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 30 ของการตั้งท้อง
เนื่องจากปีกมดลูกขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ข้อจำกัดของการคลำท้องก็คือ ถ้าหมาอ้วนมาก
หรือขี้กลัว (ประสาท) ระแวง ไม่ให้ความร่วมมือ
หรือเกร็งตลอดเวลาจะทำให้ตรวจยาก
การฉายเอ็กซเรย์
โดยหลักการเพื่อดูโครงกระดูกของลูกหมา
ซึ่งจะเริ่มตรวจพบด้วยการฉายเอ็กซเรย์ในวันที่ 20-21 ก่อนคลอด
หรือช่วงวันที่ 42 ถึง 52 หลังการผสมพันธุ์
นอกจากจะบอกได้ว่าท้องหรือไม่แล้ว
การเอ็กซเรย์ยังบอกจำนวนลูกหมา
และท่าทางต่างๆ ว่าจะก่อให้เกิดผิดปกติในขณะคลอดหรือไม่
ใช้อัลตร้าซาวนด์
วิธีนี้ตรวจท้องได้เร็วและแม่นยำ
โดยจะตรวจเห็นตัวลูกหมาได้ตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 20 ของการตั้งท้อง
และจะเห็นการเต้นของหัวใจลูกหมาได้เมื่อวันที่ 25
วิธีนี้ใช้ตรวจแยกการตั้งท้องออกจากมดลูกอักเสบได้เป็นอย่างดี
ส่วนการตรวจเลือดและฉี่เช่นในมนุษย์นั้นไม่เป็นที่นิยมกระทำในหมา
เนื่องจากว่ายังมีค่าใช้จ่ายสูง และบอกได้ไม่แน่นอนเท่าวิธีอื่น
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ http://tvma.tripod.com
จากวันที่ผสมถึงวันนี้ (1/5/53) ก็ 26 วันพอดี
สังเกตุท้องก็เหมือนจะขยายหน่อยนึง
แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เพราะดาด้าเป็นหมาอ้วน กินเก่ง มีพุงอยู่แล้ว
กะว่าเดี๋ยวครบเดือนเมื่อไหร่ จะพาไปอัลตร้าซาวนด์ดูค่ะว่าท้องมั๊ย
ถ้าท้องจริงจะได้เตรียมตัวถูก ไม่ต้องมานั่งลุ้นให้เหนื่อยใจ
การตรวจท้องแม่หมาวิธีปกติที่ทำคือ
การคลำท้อง
ซึ่งถ้าทำโดยหมอผู้ชำนาญแล้ว
จะบอกได้ตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 30 ของการตั้งท้อง
เนื่องจากปีกมดลูกขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ข้อจำกัดของการคลำท้องก็คือ ถ้าหมาอ้วนมาก
หรือขี้กลัว (ประสาท) ระแวง ไม่ให้ความร่วมมือ
หรือเกร็งตลอดเวลาจะทำให้ตรวจยาก
การฉายเอ็กซเรย์
โดยหลักการเพื่อดูโครงกระดูกของลูกหมา
ซึ่งจะเริ่มตรวจพบด้วยการฉายเอ็กซเรย์ในวันที่ 20-21 ก่อนคลอด
หรือช่วงวันที่ 42 ถึง 52 หลังการผสมพันธุ์
นอกจากจะบอกได้ว่าท้องหรือไม่แล้ว
การเอ็กซเรย์ยังบอกจำนวนลูกหมา
และท่าทางต่างๆ ว่าจะก่อให้เกิดผิดปกติในขณะคลอดหรือไม่
ใช้อัลตร้าซาวนด์
วิธีนี้ตรวจท้องได้เร็วและแม่นยำ
โดยจะตรวจเห็นตัวลูกหมาได้ตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 20 ของการตั้งท้อง
และจะเห็นการเต้นของหัวใจลูกหมาได้เมื่อวันที่ 25
วิธีนี้ใช้ตรวจแยกการตั้งท้องออกจากมดลูกอักเสบได้เป็นอย่างดี
ส่วนการตรวจเลือดและฉี่เช่นในมนุษย์นั้นไม่เป็นที่นิยมกระทำในหมา
เนื่องจากว่ายังมีค่าใช้จ่ายสูง และบอกได้ไม่แน่นอนเท่าวิธีอื่น
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ http://tvma.tripod.com
โรคทางพันธุกรรมที่พบในสุนัขพันธุ์ต่างๆ
1. พันธุ์บ๊อกเซอร์
มีปัญหาทางระบบหายใจ และเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากจมูกและขากรรไกรสั้น เป็นมะเร็งมากกว่าปกติ
2. พันธุ์เยอรมันเชพเพอด
ตัวเล็กเนื่องจากต่อมใต้สมองทำงานไม่ได้ผล เป็นลมบ้าหมู
โรคกระดูกสะโพกห่างกันมากกว่าปกติ
3. พันธุ์เกร็ทเดน
อายุสั้น โรคกระดูก ข้ออักเสบ กระดูกขาโค้ง
4. พันธุ์คอลลี่
ขนยาวมากในบางชนิด เช่น เช็ทแลนด์ ชีพด๊อก ตาผิดปกติในแบบต่างๆ รวมถึงจอตามีขนาดเล็กลง
5. พันธุ์บาสเซท ฮาวด์
มีปัญหาที่ตา และขอบตา รวมถึงการเป็นต้อหิน เป็นข้ออักเสบ
เนื่องจากขาโก่งและเท้าบิดหลังได้รับอันตรายได้ง่าย โรคข้อกระดูกสันหลัง
หูมีปัญหาเนื่องจากหูยาวและหูตก
6. พันธุ์ค๊อกเกอร์ สเปเนียล
มีขนตาภายในขอบตามากทำให้เจ็บตาบ่อย เป็นโรคหูเรื้องรัง เนื่องจากขนหูยาวและหูตก
เป็นลมบ้าหมูมากกว่าพันธุ์อื่น
7. พันธุ์ปั๊ก
ตาถลน โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคทางฟัน สาเหตุเนื่องจากจมูกสั้น
8. พันธุ์เชา-เชา
ปัญหาของขอบตา ซึ่งออกม้วนเข้า หรือม้วนออกก็ได้
9. พันธุ์ดัชชุนด์
ส่วนของหลังจะได้รับอันตรายได้ง่ายมาก เนื่องจากมีหลังที่ยาวกว่าปกติ
กระดูกงอระหว่างกระดูกสันหลังเมื่ออายุมาก และปัญหาเกี่ยวกับข้อกระดูกสันหลัง
10. พันธุ์เทอร์เรีย
หัวกระดูกต้นขาหลังตาย เนื่องจากไม่มีเลือดไปเลี้ยง
11. พันธุ์บลูด๊อกอังกฤษ
ปัญหาระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากจมูกสั้น ปัญหาเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากขากรรไกสั้น ขากรรไกรบนและล่างยื่นออกมา
โรคทางผิวหนังเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอยู่ในรอยย่นของผิวหนัง มีปัญหาตอนคลอดลูก
12. พันธุ์ชิวาว่า
ตาได้รับอันตรายง่าย เนื่องจากตาถลน ตั้งท้องยากเนื่องจากขนาดเล็ก
การเจริญเติบโตไม่เต็มที่ยังคงเหลือให้เห็น เช่น ฟันน้ำนม รูเปิดของกะโหลกศีษระ
ศีรษะโตเพราะมีน้ำอยู่ภายในมากกว่าปกติ
13. พันธุ์ปักกิ่ง
ลูกตายื่นออกมามากเกินควร ทำให้กระจกตาแห้ง และได้รับอันตรายได้ง่าย
โดยทางระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากจมูกสั้น โรคเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากขากรรไกรสั้น โรคตาอักเสบ เนื่องจากผิวหนังม้วนแล้วไปเสียดสีกับลูกตา
14. พันธุ์เซ็นท์ เบอร์นาร์ด
ขอบตาเปลี่ยนรูป ทำให้ตาเจ็บและเยื่อตาขาวอักเสบ
รูปร่างใหญ่เกินขนาด อาจทำให้ชีวิตสั้นลง กระดูกเจริญมากผิดปกติ ข้อกระดูกสะโพกเคลื่อน
15. พันธุ์พูเดิ้ล
มีปัญหาด้านข้อสะบ้าเคลื่อน ทำให้เกิดความเจ็บปวดเมื่อเคลื่อนไหว
ข้อมูลจาก:; The VET & The PET
มีปัญหาทางระบบหายใจ และเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากจมูกและขากรรไกรสั้น เป็นมะเร็งมากกว่าปกติ
2. พันธุ์เยอรมันเชพเพอด
ตัวเล็กเนื่องจากต่อมใต้สมองทำงานไม่ได้ผล เป็นลมบ้าหมู
โรคกระดูกสะโพกห่างกันมากกว่าปกติ
3. พันธุ์เกร็ทเดน
อายุสั้น โรคกระดูก ข้ออักเสบ กระดูกขาโค้ง
4. พันธุ์คอลลี่
ขนยาวมากในบางชนิด เช่น เช็ทแลนด์ ชีพด๊อก ตาผิดปกติในแบบต่างๆ รวมถึงจอตามีขนาดเล็กลง
5. พันธุ์บาสเซท ฮาวด์
มีปัญหาที่ตา และขอบตา รวมถึงการเป็นต้อหิน เป็นข้ออักเสบ
เนื่องจากขาโก่งและเท้าบิดหลังได้รับอันตรายได้ง่าย โรคข้อกระดูกสันหลัง
หูมีปัญหาเนื่องจากหูยาวและหูตก
6. พันธุ์ค๊อกเกอร์ สเปเนียล
มีขนตาภายในขอบตามากทำให้เจ็บตาบ่อย เป็นโรคหูเรื้องรัง เนื่องจากขนหูยาวและหูตก
เป็นลมบ้าหมูมากกว่าพันธุ์อื่น
7. พันธุ์ปั๊ก
ตาถลน โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคทางฟัน สาเหตุเนื่องจากจมูกสั้น
8. พันธุ์เชา-เชา
ปัญหาของขอบตา ซึ่งออกม้วนเข้า หรือม้วนออกก็ได้
9. พันธุ์ดัชชุนด์
ส่วนของหลังจะได้รับอันตรายได้ง่ายมาก เนื่องจากมีหลังที่ยาวกว่าปกติ
กระดูกงอระหว่างกระดูกสันหลังเมื่ออายุมาก และปัญหาเกี่ยวกับข้อกระดูกสันหลัง
10. พันธุ์เทอร์เรีย
หัวกระดูกต้นขาหลังตาย เนื่องจากไม่มีเลือดไปเลี้ยง
11. พันธุ์บลูด๊อกอังกฤษ
ปัญหาระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากจมูกสั้น ปัญหาเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากขากรรไกสั้น ขากรรไกรบนและล่างยื่นออกมา
โรคทางผิวหนังเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอยู่ในรอยย่นของผิวหนัง มีปัญหาตอนคลอดลูก
12. พันธุ์ชิวาว่า
ตาได้รับอันตรายง่าย เนื่องจากตาถลน ตั้งท้องยากเนื่องจากขนาดเล็ก
การเจริญเติบโตไม่เต็มที่ยังคงเหลือให้เห็น เช่น ฟันน้ำนม รูเปิดของกะโหลกศีษระ
ศีรษะโตเพราะมีน้ำอยู่ภายในมากกว่าปกติ
13. พันธุ์ปักกิ่ง
ลูกตายื่นออกมามากเกินควร ทำให้กระจกตาแห้ง และได้รับอันตรายได้ง่าย
โดยทางระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากจมูกสั้น โรคเกี่ยวกับฟัน
เนื่องจากขากรรไกรสั้น โรคตาอักเสบ เนื่องจากผิวหนังม้วนแล้วไปเสียดสีกับลูกตา
14. พันธุ์เซ็นท์ เบอร์นาร์ด
ขอบตาเปลี่ยนรูป ทำให้ตาเจ็บและเยื่อตาขาวอักเสบ
รูปร่างใหญ่เกินขนาด อาจทำให้ชีวิตสั้นลง กระดูกเจริญมากผิดปกติ ข้อกระดูกสะโพกเคลื่อน
15. พันธุ์พูเดิ้ล
มีปัญหาด้านข้อสะบ้าเคลื่อน ทำให้เกิดความเจ็บปวดเมื่อเคลื่อนไหว
ข้อมูลจาก:; The VET & The PET
ตู้ยาน้องหมา
ตู้ยาน้องหมา
posted on 17 Nov 2009 11:13 by eeddy in eeddyLife
สมัยนี้เกือบทุกบ้านมักจะมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน
โดยเฉพาะน้องหมา บางบ้านมีเพียง 1-2 ตัว บางบ้านมีเป็นสิบ
การมีตู้ยาประจำบ้านเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องนึกถึง
ถ้าหากเจ้าตัวน้อยของเราเกิดป่วย หรือได้รับอุบัติเหตุตอนดึก ๆ
เราคงต้องขับรถตระเวนหาโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิด 24 ชั่วโมง
ที่มีอยู่ไม่ถึง 10 แห่ง กว่าจะปลุกหมอมาตรวจพอดีเช้าเสียก่อน
ถ้าอย่างนั้นเรามาลองตระเตรียมตู้ยาประจำบ้าน สำหรับน้องหมากันบ้าง
ซึ่งรายการของที่ต้องเตรียมก็สามารถหาได้ไม่ยาก ดังต่อไปนี้...
posted on 17 Nov 2009 11:13 by eeddy in eeddyLife
สมัยนี้เกือบทุกบ้านมักจะมีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน
โดยเฉพาะน้องหมา บางบ้านมีเพียง 1-2 ตัว บางบ้านมีเป็นสิบ
การมีตู้ยาประจำบ้านเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องนึกถึง
ถ้าหากเจ้าตัวน้อยของเราเกิดป่วย หรือได้รับอุบัติเหตุตอนดึก ๆ
เราคงต้องขับรถตระเวนหาโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิด 24 ชั่วโมง
ที่มีอยู่ไม่ถึง 10 แห่ง กว่าจะปลุกหมอมาตรวจพอดีเช้าเสียก่อน
ถ้าอย่างนั้นเรามาลองตระเตรียมตู้ยาประจำบ้าน สำหรับน้องหมากันบ้าง
ซึ่งรายการของที่ต้องเตรียมก็สามารถหาได้ไม่ยาก ดังต่อไปนี้...
ประโยชน์ของ"หนวด"
หนวด หรือ whisker ของสัตว์มีประโยชน์หลายอย่าง
หนวดที่ว่านี่คือขนยาวซึ่งขึ้นระหว่างริมฝีปากบนกับขอบล่างของจมูก
จะมีความหนามากกว่าขนธรรมดาสองสามเท่าได้แล้วก็ยาวกว่า
(ไม่ควรตัดโดยเด็ดขาด, อันนี้ไม่นับพวกที่ขนปุยทั้งตัวนะ)
แล้วรากของหนวดก็จะอยู่ลึกกว่ารากขนธรรมดาด้วย
ประโยชน์ของหนวดได้แก่
- ช่วยคลำทาง ไม่ได้หมายความว่าใช้หนวดสัมผัสเพื่อสำรวจทาง
แต่หนวดพวกนี้จะค่อนข้างยาว แล้วก็ sensitive มากต่อกระแสลม
ช่วยให้สัตว์พวกนี้รู้คร่าวๆ ว่าจะมีสิ่งกีดขวางอะไรอยู่ข้างหน้ารึเปล่า
จากกระแสอากาศที่สัมผัสได้ด้วยหนวด
ช่วยในการไปไหนมาไหนตอนมืดๆ ค่ำๆ
- ช่วยแสดงอารมณ์ เวลาอารมณ์เปลี่ยนลักษณะของหนวดก็จะเปลี่ยน
คล้ายกับขนทั้งตัวเช่นกัน อย่างแมวเวลาโกรธขนจะตั้งๆ หน่อย
ทีนี้หนวดมันยาวกว่าก็จะเห็นได้ชัดขึ้น
- อันสุดท้ายนี่สำคัญสำหรับพวกที่ตัวเล็กๆ หน่อย
อย่าง แมว หนู รึกระต่าย ก็คือใช้เป็นไม้บรรทัดวัดขนาด
ถ้าสังเกตจะพบว่าหนวดจะมีความกว้างรวมใกล้เคียงกับขนาดตัวของมัน
ดังนั้นเวลาจะมุดซอกมุดรู
ก็จะใช้หนวดนี่วัดได้คร่าวๆ ว่าตัวจะลอดไปได้รึเปล่า
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ วิชาการ.คอม
หนวดที่ว่านี่คือขนยาวซึ่งขึ้นระหว่างริมฝีปากบนกับขอบล่างของจมูก
จะมีความหนามากกว่าขนธรรมดาสองสามเท่าได้แล้วก็ยาวกว่า
(ไม่ควรตัดโดยเด็ดขาด, อันนี้ไม่นับพวกที่ขนปุยทั้งตัวนะ)
แล้วรากของหนวดก็จะอยู่ลึกกว่ารากขนธรรมดาด้วย
ประโยชน์ของหนวดได้แก่
- ช่วยคลำทาง ไม่ได้หมายความว่าใช้หนวดสัมผัสเพื่อสำรวจทาง
แต่หนวดพวกนี้จะค่อนข้างยาว แล้วก็ sensitive มากต่อกระแสลม
ช่วยให้สัตว์พวกนี้รู้คร่าวๆ ว่าจะมีสิ่งกีดขวางอะไรอยู่ข้างหน้ารึเปล่า
จากกระแสอากาศที่สัมผัสได้ด้วยหนวด
ช่วยในการไปไหนมาไหนตอนมืดๆ ค่ำๆ
- ช่วยแสดงอารมณ์ เวลาอารมณ์เปลี่ยนลักษณะของหนวดก็จะเปลี่ยน
คล้ายกับขนทั้งตัวเช่นกัน อย่างแมวเวลาโกรธขนจะตั้งๆ หน่อย
ทีนี้หนวดมันยาวกว่าก็จะเห็นได้ชัดขึ้น
- อันสุดท้ายนี่สำคัญสำหรับพวกที่ตัวเล็กๆ หน่อย
อย่าง แมว หนู รึกระต่าย ก็คือใช้เป็นไม้บรรทัดวัดขนาด
ถ้าสังเกตจะพบว่าหนวดจะมีความกว้างรวมใกล้เคียงกับขนาดตัวของมัน
ดังนั้นเวลาจะมุดซอกมุดรู
ก็จะใช้หนวดนี่วัดได้คร่าวๆ ว่าตัวจะลอดไปได้รึเปล่า
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ วิชาการ.คอม
วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เมื่อเจ้าโฮ่งที่บ้านอ้วน…….
น้ำหนักของเจ้าตัวดีที่บ้าน….ทำไมถึงสำคัญนัก
ไม่ว่าสุนัขหรือแมวก็ควรมีน้ำหนักที่เหมาะสม เหมือนกับคนเช่นกัน เมื่อสัตว์เลี้ยงของเรามีรูปร่างสมส่วน
มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม พวกเค้าก็จะมีสุขภาพที่ดี กระฉับกระเฉง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้าย และมีอายุยืนยาว
เมื่อสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักที่สูงเกินกว่าเกณฑ์มาตราฐาน 15% จะถือว่าสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักเกิน (Overweight)
หากพวกเค้ามีน้ำหนักที่สูงเกินมาตราฐานมากกว่า 15% สัตว์เลี้ยงของคุณจะเป็นโรคอ้วน (Obese)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าโฮ่ง มีน้ำหนักเกินกว่ามาตราฐาน
คลำไม่พบกระดูกซี่โครง
ไม่ว่ามองจากด้านข้างหรือด้านบน คุณก็มองไม่เห็นเอวของเค้า
เดินลำบาก
ไม่ค่อยมีแรง
ได้ยินเสียงหายใจ เป็นจังหวะสั้นๆ
ขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย
นอนเก่ง
มีโรคประจำตัวต่างๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
ทำความรู้จักกับ Body Condition Score (BCS): เกณฑ์รูปร่าง และความสมบูรณ์
อ้วนมาก - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำไม่พบ มีไขมันปกคลุมหนา
หนา มีไขมันมาก
ไม่มีรอยคอด มีไขมันมาก
หลังกว้าง แบน เห็นได้ชัด
อ้วน - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำพบได้ยาก มีไขมันปกคลุม
หนากว่าปกติ มีไขมันปกคลุม
ไม่มีรอยคอด
หลังกว้าง ไม่มีเอว
สมบูรณ์ - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำพบได้ ไขมันปกคลุมพอเหมาะ
เรียบ ไขมันปกคลุมเล็กน้อย
มีเอว
รูปร่างสมส่วน มีเอว
สาเหตุของความอ้วน
อาหารมากเกิน (Overnutririon)
หมายถึงการได้ปริมาณของอาหารที่มากเกินความต้องการปกติของร่างกาย หรือการได้กินอาหารที่ให้พลังงานมากเกินความต้องการ
โรค (Diseases)
ความอ้วนอาจเกิดจากภาวะของโรคบางอย่างได้ การแก้ไขจำเป็นต้องทำให้ตรงกับสาเหตุที่เกิด
ทำหมัน (Neutering / Spaying)
การทำหมันนั้น เพิ่มความเสี่ยงของความอ้วนในสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเป็นผลจากขบวนการ Metabolism ในร่างกายนั้นลดลง
อายุมาก (Age)
สัตว์เลี้ยงที่มีอายุมากขึ้นมักมีกิจกรรมต่างๆลดลง พลังงานที่ต้องการจึงลดลงตามมา หากได้รับพลังงานจากอาหารในปริมาณที่มากเท่าเดิม สัตว์เลี้ยงจึงมีความเสี่ยงต่อความอ้วนได้
ไม่ได้ออกกำลังกายเพียงพอ (Limited Exercise)
สัตว์เลี้ยงอาจไม่ชอบออกกำลังกายด้วยตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการพลังงานมาก หากได้รับอาหารแม้จะดูเหมือนว่ามีปริมาณปกติก็อาจทำให้อ้วนได้
ผลเสียของความอ้วน
ปัญหาต่างๆ ที่มักพบตามมาจากความอ้วน
ระบบข้อต่อ และการเคลื่อนไหวผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดปัญหาข้อสะโพกเสื่อม
หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย
ความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคไต
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ตับทำงานเสื่อมลงเนื่องจากมีการสะสมของไขมันภายในตับ
ความสามารถในการสืบพันธุ์ลดลง พบไขมันหนาในถุงอัณฑะ น้ำหนักมากกว่าตัวเมียมากๆทำให้ไม่สามารถขึ้นผสมได้ อัตราการผสมติดต่ำ จำนวนลูกต่อครอกน้อย
คลอดยาก เนื่องจากมีไขมันไปเกาะอยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน ขัดขวางการคลอด ไม่มีแรงเบ่งคลอด
อดทนต่ออากาศร้อนต่ำ
เพิ่มโอกาสของการติดเชื้อบริเวณผิวหนังมากกว่า
มีโอกาสการเกิดโรคเนื้องอกได้ง่ายกว่า
มีความเสี่ยงของปัญหาที่เกิดจากการวางยาสลบมากกว่า เนื่องจากยาสลบหลายชนิดจะไปสะสมอยู่ในเซลไขมัน ทำให้มีการออกฤทธิ์ยาวนานขึ้น
ความต้านทานโรคลดลง
เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานมากกว่า
เมื่อสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักที่เหมาะสม หรือสามารถลดน้ำหนักลงมาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ อาการต่างๆเหล่านี้ก็จะลดลง หรือลดความเสี่ยงของอาการต่างๆเหล่านี้ได้
การควบคุมน้ำหนัก (Weight Management)
ฮิลล์ เพรสคริพชั่น ไดเอท (Hill’s Prescription Diet) มีผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
* Hill’s Prescription Diet - Canine r/d
อาหารสุนัขสำหรับการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะ ด้วยสารอาหารที่ครบถ้วนสำหรับสุนัขโต แต่ลดปริมาณของไขมัน และพลังงานลง เพื่อให้ร่างกายดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ รวมถึงเพิ่มปริมาณใยอาหารธรรมชาติ ให้สุนัขรู้สึกอิ่ม ทำให้ไม่เครียดจากการควบคุมอาหาร นอกจากนั้นยังมี L-Carnitine สารอาหารสำคัญ ที่ช่วยเปลี่ยนไขมันส่วนเกินให้เป็นพลังงาน และกล้ามเนื้อ ปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง และช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* Hill’s Prescription Diet - Canine w/d
อาหารสุนัขสำหรับการควบคุมน้ำหนักโดยเฉพาะ ยังคงเต็มไปด้วยสารอาหารครบถ้วนและสมดุลย์สำหรับสุนัขโต ซึ่งลดปริมาณของไขมันและพลังงานลงสำหรับการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมี ประสิทธิภาพ หลังจากการลดน้ำหนักได้แล้ว เหมาะกับสุนัขที่อ้วนง่าย
* Hill’s Science Diet
Canine Small Bites Light & Canine Light
อาหารสำหรับสุนัขโตที่พบว่าอ้วนง่าย มีแนวโน้มว่าจะอ้วน หรือสำหรับสุนัขหลังจากทำหมันแล้ว และยังแนะนำสำหรับให้สุนัขภายหลังการลดน้ำหนักเป็นผลสำเร็จแล้ว
ข้อแนะนำสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
นัดสัตวแพทย์เพื่อทำการประเมินน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของท่าน
ให้เฉพาะอาหารที่แนะนำโดยสัตวแพทย์
ปฏิบัติตามโปรแกรมลดน้ำหนักสัตว์เลี้ยงอย่างเคร่งครัด เช่น มื้ออาหาร ปริมาณอาหาร และพาสัตว์เลี้ยง
ออกกำลังกายตามที่สัตวแพทย์แนะนำ
ให้รางวัลสัตว์เลี้ยงของท่านด้วยการโอบกอด เล่นเกมส์ หรือพาไปเดินเล่นแทนที่จะให้รางวัลด้วยอาหาร
ชั่งน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของท่านอย่างสม่ำเสมอ
ที่มาของเนื้อหาทั้งหมด : http://www.petnutritioncenter.com/
ไม่ว่าสุนัขหรือแมวก็ควรมีน้ำหนักที่เหมาะสม เหมือนกับคนเช่นกัน เมื่อสัตว์เลี้ยงของเรามีรูปร่างสมส่วน
มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม พวกเค้าก็จะมีสุขภาพที่ดี กระฉับกระเฉง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้าย และมีอายุยืนยาว
เมื่อสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักที่สูงเกินกว่าเกณฑ์มาตราฐาน 15% จะถือว่าสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักเกิน (Overweight)
หากพวกเค้ามีน้ำหนักที่สูงเกินมาตราฐานมากกว่า 15% สัตว์เลี้ยงของคุณจะเป็นโรคอ้วน (Obese)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าโฮ่ง มีน้ำหนักเกินกว่ามาตราฐาน
คลำไม่พบกระดูกซี่โครง
ไม่ว่ามองจากด้านข้างหรือด้านบน คุณก็มองไม่เห็นเอวของเค้า
เดินลำบาก
ไม่ค่อยมีแรง
ได้ยินเสียงหายใจ เป็นจังหวะสั้นๆ
ขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย
นอนเก่ง
มีโรคประจำตัวต่างๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
ทำความรู้จักกับ Body Condition Score (BCS): เกณฑ์รูปร่าง และความสมบูรณ์
อ้วนมาก - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำไม่พบ มีไขมันปกคลุมหนา
หนา มีไขมันมาก
ไม่มีรอยคอด มีไขมันมาก
หลังกว้าง แบน เห็นได้ชัด
อ้วน - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำพบได้ยาก มีไขมันปกคลุม
หนากว่าปกติ มีไขมันปกคลุม
ไม่มีรอยคอด
หลังกว้าง ไม่มีเอว
สมบูรณ์ - ซี่โครง
- ส่วนหาง
- ด้านข้าง
- ด้านบน คลำพบได้ ไขมันปกคลุมพอเหมาะ
เรียบ ไขมันปกคลุมเล็กน้อย
มีเอว
รูปร่างสมส่วน มีเอว
สาเหตุของความอ้วน
อาหารมากเกิน (Overnutririon)
หมายถึงการได้ปริมาณของอาหารที่มากเกินความต้องการปกติของร่างกาย หรือการได้กินอาหารที่ให้พลังงานมากเกินความต้องการ
โรค (Diseases)
ความอ้วนอาจเกิดจากภาวะของโรคบางอย่างได้ การแก้ไขจำเป็นต้องทำให้ตรงกับสาเหตุที่เกิด
ทำหมัน (Neutering / Spaying)
การทำหมันนั้น เพิ่มความเสี่ยงของความอ้วนในสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเป็นผลจากขบวนการ Metabolism ในร่างกายนั้นลดลง
อายุมาก (Age)
สัตว์เลี้ยงที่มีอายุมากขึ้นมักมีกิจกรรมต่างๆลดลง พลังงานที่ต้องการจึงลดลงตามมา หากได้รับพลังงานจากอาหารในปริมาณที่มากเท่าเดิม สัตว์เลี้ยงจึงมีความเสี่ยงต่อความอ้วนได้
ไม่ได้ออกกำลังกายเพียงพอ (Limited Exercise)
สัตว์เลี้ยงอาจไม่ชอบออกกำลังกายด้วยตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการพลังงานมาก หากได้รับอาหารแม้จะดูเหมือนว่ามีปริมาณปกติก็อาจทำให้อ้วนได้
ผลเสียของความอ้วน
ปัญหาต่างๆ ที่มักพบตามมาจากความอ้วน
ระบบข้อต่อ และการเคลื่อนไหวผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดปัญหาข้อสะโพกเสื่อม
หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย
ความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคไต
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ตับทำงานเสื่อมลงเนื่องจากมีการสะสมของไขมันภายในตับ
ความสามารถในการสืบพันธุ์ลดลง พบไขมันหนาในถุงอัณฑะ น้ำหนักมากกว่าตัวเมียมากๆทำให้ไม่สามารถขึ้นผสมได้ อัตราการผสมติดต่ำ จำนวนลูกต่อครอกน้อย
คลอดยาก เนื่องจากมีไขมันไปเกาะอยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน ขัดขวางการคลอด ไม่มีแรงเบ่งคลอด
อดทนต่ออากาศร้อนต่ำ
เพิ่มโอกาสของการติดเชื้อบริเวณผิวหนังมากกว่า
มีโอกาสการเกิดโรคเนื้องอกได้ง่ายกว่า
มีความเสี่ยงของปัญหาที่เกิดจากการวางยาสลบมากกว่า เนื่องจากยาสลบหลายชนิดจะไปสะสมอยู่ในเซลไขมัน ทำให้มีการออกฤทธิ์ยาวนานขึ้น
ความต้านทานโรคลดลง
เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานมากกว่า
เมื่อสัตว์เลี้ยงมีน้ำหนักที่เหมาะสม หรือสามารถลดน้ำหนักลงมาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ อาการต่างๆเหล่านี้ก็จะลดลง หรือลดความเสี่ยงของอาการต่างๆเหล่านี้ได้
การควบคุมน้ำหนัก (Weight Management)
ฮิลล์ เพรสคริพชั่น ไดเอท (Hill’s Prescription Diet) มีผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
* Hill’s Prescription Diet - Canine r/d
อาหารสุนัขสำหรับการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะ ด้วยสารอาหารที่ครบถ้วนสำหรับสุนัขโต แต่ลดปริมาณของไขมัน และพลังงานลง เพื่อให้ร่างกายดึงเอาไขมันส่วนเกินมาใช้ รวมถึงเพิ่มปริมาณใยอาหารธรรมชาติ ให้สุนัขรู้สึกอิ่ม ทำให้ไม่เครียดจากการควบคุมอาหาร นอกจากนั้นยังมี L-Carnitine สารอาหารสำคัญ ที่ช่วยเปลี่ยนไขมันส่วนเกินให้เป็นพลังงาน และกล้ามเนื้อ ปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง และช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* Hill’s Prescription Diet - Canine w/d
อาหารสุนัขสำหรับการควบคุมน้ำหนักโดยเฉพาะ ยังคงเต็มไปด้วยสารอาหารครบถ้วนและสมดุลย์สำหรับสุนัขโต ซึ่งลดปริมาณของไขมันและพลังงานลงสำหรับการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมี ประสิทธิภาพ หลังจากการลดน้ำหนักได้แล้ว เหมาะกับสุนัขที่อ้วนง่าย
* Hill’s Science Diet
Canine Small Bites Light & Canine Light
อาหารสำหรับสุนัขโตที่พบว่าอ้วนง่าย มีแนวโน้มว่าจะอ้วน หรือสำหรับสุนัขหลังจากทำหมันแล้ว และยังแนะนำสำหรับให้สุนัขภายหลังการลดน้ำหนักเป็นผลสำเร็จแล้ว
ข้อแนะนำสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง
นัดสัตวแพทย์เพื่อทำการประเมินน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของท่าน
ให้เฉพาะอาหารที่แนะนำโดยสัตวแพทย์
ปฏิบัติตามโปรแกรมลดน้ำหนักสัตว์เลี้ยงอย่างเคร่งครัด เช่น มื้ออาหาร ปริมาณอาหาร และพาสัตว์เลี้ยง
ออกกำลังกายตามที่สัตวแพทย์แนะนำ
ให้รางวัลสัตว์เลี้ยงของท่านด้วยการโอบกอด เล่นเกมส์ หรือพาไปเดินเล่นแทนที่จะให้รางวัลด้วยอาหาร
ชั่งน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของท่านอย่างสม่ำเสมอ
ที่มาของเนื้อหาทั้งหมด : http://www.petnutritioncenter.com/
โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis)
โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) สำหรับสุนัข
thumb-20071027-0614220.jpg
พบมาก : สุนัขทุกวัย และสามารถติดต่อถึงคนได้
สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ : ไข้สูง เบื่ออาหาร ซึม อาเจียน หายใจขัด กระหายน้ำ ตัวเหลือง ขาหลังสั่น และเกร็ง ไม่ยอมลุกเดินไปไหน เยื่อบุช่องปากอาจมีจุดเลือดออก ตายภายใน 5 - 10 วัน หลังจากแสดงอาการ
การรักษา : ไม่มียารักษา
การป้องกัน : ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรก 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกๆปี ปีละครั้ง
ข้อมูลจาก คัดจาก http://www.sappasan.com/forum/viewtopic.php?t=1967
by am
thumb-20071027-0614220.jpg
พบมาก : สุนัขทุกวัย และสามารถติดต่อถึงคนได้
สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ : ไข้สูง เบื่ออาหาร ซึม อาเจียน หายใจขัด กระหายน้ำ ตัวเหลือง ขาหลังสั่น และเกร็ง ไม่ยอมลุกเดินไปไหน เยื่อบุช่องปากอาจมีจุดเลือดออก ตายภายใน 5 - 10 วัน หลังจากแสดงอาการ
การรักษา : ไม่มียารักษา
การป้องกัน : ฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดซ้ำครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรก 1 เดือน และฉีดซ้ำทุกๆปี ปีละครั้ง
ข้อมูลจาก คัดจาก http://www.sappasan.com/forum/viewtopic.php?t=1967
by am
ธนาคารเลือดสัตว์
:: ธนาคารเลือดสัตว์ อีกเส้นทางแห่งการกอบกู้ชีวิต ::
20071027-072848.gif
สุนัขสัตว์เลี้ยงที่ภักดีต่อเจ้าของ คนรักสุนัขอย่านิ่งเฉย สัตวแพทย์ขอความร่วมมือช่วยกันบริจาคเลือดสุนัข ซึ่งกำลังขาดแคลนอย่างหนัก นายสัตวแพทย์ พายุ ศรีสุภร แพทย์ประจำธนาคารเลือดสัตว์ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศ กล่าวถึงที่มาของธนาคารเลือดสัตว์ว่า ก่อตั้งเป็นรูปเป็นร่างเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เดิมเรามีการถ่ายเลือดอยู่แล้ว
แต่ยังไม่มีธนาคารเลือดเพื่อบริการแก่สัตว์ที่ป่วย ทั้งจากอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน และที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคเลือด ในต่างประเทศมีมานานแล้ว จึงได้มีการสร้าง ธนาคารเลือดแห่งนี้ขึ้น ตั้งอยู่ชั้น 3 ของโรงพยาบาล
โดยธนาคารเลือดสัตว์ ขณะนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเคสเดิมๆ ขึ้นอยู่กับทางเจ้าของสุนัขด้วย ทำให้เกิดวิกฤติการขาดเลือดมาตลอด ในช่วงแรกหากสุนัขมีความต้องการเลือด ทางเจ้าของก็ต้องจัดการหาจากสุนัข เพื่อนบ้าน หรือหาจากที่อื่น ส่วนใหญ่จะเป็นเคสหนักๆ ที่ส่งต่อมาจากคลินิก หรือสถานประกอบการอื่นๆ แต่บางครั้งเราก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีเลือดให้
การเก็บเลือดจะเก็บเอาไว้ในถุงเก็บเลือดชนิดเดียวกับของคน ในการบริจาค 1 ครั้ง จะเก็บเลือดปริมาณ 1 ยูนิต หรือ 350 ซีซี ซึ่งโดยปกติความสามารถในการให้เลือดจะอยู่ระหว่าง 10-20 ซีซีต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ความถี่ในการบริจาคทุกๆ 4-6 เดือน ก่อนที่จะทำการเจาะเก็บเลือด สัตวแพทย์จะทำการวางยาซึมให้สุนัข เพื่อป้องกันสุนัขดิ้นระหว่างการเก็บเลือด เนื่องจากบริเวณที่ใช้เจาะเก็บเลือดคือบริเวณคอ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ ทำให้ได้เลือดไว ไม่ทันแข็งตัว ถ้าสุนัขดิ้นอาจจะเกิดอันตรายได้ ยาซึมนี้จะ ทำให้สุนัขมีอาการง่วงซึมเท่านั้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
นายสัตวแพทย์พายุกล่าวต่อว่า ส่วนประกอบในเลือดแบ่งได้ เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ เม็ดเลือดแดง น้ำเลือด หลังจากการเจาะเก็บเลือด เลือดที่ได้จะนำมาแยกเป็น 2 ส่วน เม็ดเลือดแดงเก็บได้นาน 28 วัน ส่วนพลาสม่าจะถูกนำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส เก็บได้นาน 5 ปี ซึ่งเม็ดเลือดแดงจะนำไปใช้ในกรณีของโรคโลหิตจาง พยาธิในเม็ดเลือดอย่างรุนแรง การเสียเลือดจากการผ่าตัด และเสียเลือดอย่าง รุนแรงจากอุบัติเหตุ ส่วนพลาสม่าจะนำไปใช้ในกรณีปัญหาการแข็งตัวของ เลือด หรือโรคเลือดบางชนิด หรือภาวะการขาดโปรตีนหรือขาดสารอาหาร และอาจนำผลิตภัณฑ์เลือดไปใช้ในกรณีพิเศษอื่นๆ
เมื่อได้เลือดมาจะนำไปผ่านเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกเลือด ปั่นด้วยความเร็วสูง 350 รอบต่อวินาที
การใช้เลือดให้กับสุนัขจะขึ้นอยู่กับหมอจะพิจารณา ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงตัวนั้นขาดอะไรก็จะให้ สิ่งนั้น ไม่ใช่ให้ทั้งหมด เพราะข้อดีของการให้เลือดคือ ช่วยชีวิตสัตว์ได้ แต่ก็มีข้อเสียด้วยคือ อาจจะทำให้ได้รับสารที่ไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายอาจจะเกิดปัญหาได้ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เลือด
ปัจจุบัน โรงพยาบาลเรามีความต้องการเลือดสูงมาก เฉลี่ยมีรายที่จะต้องให้เลือด 2-3 รายต่อวัน แต่ผู้บริจาคมีน้อย ส่วนหนึ่งแจ้ง ความจำนงเอาไว้ แต่มีแค่ 100 รายเท่านั้น ในรายที่ต้องการใช้เลือด เราไม่มีให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเจ้าของสุนัขด้วย กรณีเร่งด่วนจริงๆ มีหลายรายเสียชีวิตไป ร.พ.เราขาดแคลนเลือดในการสำรองไว้ใช้
นายสัตวแพทย์พายุกล่าวต่อว่า ซึ่งหากมีผู้ใจบุญนำสัตว์มาบริจาคเลือดมากๆ และอยู่ในขั้นเพียงพอแล้ว เราจะได้ส่งไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการอีก เช่น ที่โรงพยาบาลสัตว์กำแพงแสน
สุนัขมีกรุ๊ปเลือด 8 กรุ๊ป คือกรุ๊ป DEA 1.1, 1.2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, กรุ๊ป DEA 8 สามารถให้เลือดได้กับทุกกรุ๊ป คุณสมบัติของสุนัขที่ สามารถบริจาคได้คือ ต้องอยู่ระหว่างอายุ 1-6 ปี ไม่จำกัดเพศ พันธุ์ (ถ้าเป็นเพศเมียต้องรอให้หมดประจำเดือนก่อน) มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 20 ก.ก. มีประวัติการทำวัคซีนครบ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจ วัคซีนรวม วัคซีนพิษสุนัขบ้า ไม่มีประวัติของโรคพยาธิในเม็ดเลือด ไม่เคยรับการผ่าตัดใหญ่ในระยะ 1-2 เดือน และต้องมีสุขภาพแข็งแรง
หากสนใจบริจาคเลือดสามารถโทร.เข้ามาที่โรงพยาบาลสัตว์เล็ก แจ้งความจำนงไว้ ทาง ร.พ.จะจดพันธุ์ เพศ และเบอร์โทร.เพื่อติดต่อ กลับ โดยเราจะมีเจ้าหน้าที่ทำการนัดหมายนำสุนัขมาบริจาคเลือดอีกครั้งหนึ่ง ในอนาคตจะจัดให้เป็นหนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์สำหรับรับบริจาคเลือด และมีแนวคิดว่าอาจจะนำรถรับบริจาคเคลื่อนที่ เพราะได้รับการร้องขอมา เหมือนกันว่าบางครั้งที่บ้านเจ้าของสุนัขเขาอาจจะมีเป็น 10 ตัว แต่ไม่ สามารถนำมาได้ บางคนก็บอกว่าเหนื่อยมากกว่าจะพามาได้ บางรายก็บอก ว่ามีเวลาไม่มากพอ
ส่วนการจะไปนำเลือดจากสุนัขจรจัดของ กทม.คิดว่าเสี่ยงเกินไป เพราะเราไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหรือไม่ มีการจัดทำวัคซีนครบหรือไม่ ซึ่งหากมีอะไรเกิดขึ้นจะมีปัญหาใหญ่ตามมา
อยากให้ท่านเจ้าของสุนัขมั่นใจว่าการบริจาคเลือดไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกายของสุนัขทั้งสิ้น ยาที่ให้เป็นยานอนหลับบริเวณลำคอที่เจาะเลือด เราโกนขนให้เล็กที่สุดในตำแหน่งเส้นเลือดเท่านั้น และทำความสะอาด อย่างดีที่สุด มีการฆ่าเชื้อเช่นเดียวกับการทำผ่าตัดเลยทีเดียว อยากเชิญชวนผู้ใจบุญนำสัตว์เลี้ยงของท่านบริจาคเลือดมากๆ เพื่อสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ที่กำลังเจ็บป่วย
20071027-072848.gif
สุนัขสัตว์เลี้ยงที่ภักดีต่อเจ้าของ คนรักสุนัขอย่านิ่งเฉย สัตวแพทย์ขอความร่วมมือช่วยกันบริจาคเลือดสุนัข ซึ่งกำลังขาดแคลนอย่างหนัก นายสัตวแพทย์ พายุ ศรีสุภร แพทย์ประจำธนาคารเลือดสัตว์ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศ กล่าวถึงที่มาของธนาคารเลือดสัตว์ว่า ก่อตั้งเป็นรูปเป็นร่างเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เดิมเรามีการถ่ายเลือดอยู่แล้ว
แต่ยังไม่มีธนาคารเลือดเพื่อบริการแก่สัตว์ที่ป่วย ทั้งจากอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน และที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคเลือด ในต่างประเทศมีมานานแล้ว จึงได้มีการสร้าง ธนาคารเลือดแห่งนี้ขึ้น ตั้งอยู่ชั้น 3 ของโรงพยาบาล
โดยธนาคารเลือดสัตว์ ขณะนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเคสเดิมๆ ขึ้นอยู่กับทางเจ้าของสุนัขด้วย ทำให้เกิดวิกฤติการขาดเลือดมาตลอด ในช่วงแรกหากสุนัขมีความต้องการเลือด ทางเจ้าของก็ต้องจัดการหาจากสุนัข เพื่อนบ้าน หรือหาจากที่อื่น ส่วนใหญ่จะเป็นเคสหนักๆ ที่ส่งต่อมาจากคลินิก หรือสถานประกอบการอื่นๆ แต่บางครั้งเราก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีเลือดให้
การเก็บเลือดจะเก็บเอาไว้ในถุงเก็บเลือดชนิดเดียวกับของคน ในการบริจาค 1 ครั้ง จะเก็บเลือดปริมาณ 1 ยูนิต หรือ 350 ซีซี ซึ่งโดยปกติความสามารถในการให้เลือดจะอยู่ระหว่าง 10-20 ซีซีต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ความถี่ในการบริจาคทุกๆ 4-6 เดือน ก่อนที่จะทำการเจาะเก็บเลือด สัตวแพทย์จะทำการวางยาซึมให้สุนัข เพื่อป้องกันสุนัขดิ้นระหว่างการเก็บเลือด เนื่องจากบริเวณที่ใช้เจาะเก็บเลือดคือบริเวณคอ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ ทำให้ได้เลือดไว ไม่ทันแข็งตัว ถ้าสุนัขดิ้นอาจจะเกิดอันตรายได้ ยาซึมนี้จะ ทำให้สุนัขมีอาการง่วงซึมเท่านั้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
นายสัตวแพทย์พายุกล่าวต่อว่า ส่วนประกอบในเลือดแบ่งได้ เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ เม็ดเลือดแดง น้ำเลือด หลังจากการเจาะเก็บเลือด เลือดที่ได้จะนำมาแยกเป็น 2 ส่วน เม็ดเลือดแดงเก็บได้นาน 28 วัน ส่วนพลาสม่าจะถูกนำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส เก็บได้นาน 5 ปี ซึ่งเม็ดเลือดแดงจะนำไปใช้ในกรณีของโรคโลหิตจาง พยาธิในเม็ดเลือดอย่างรุนแรง การเสียเลือดจากการผ่าตัด และเสียเลือดอย่าง รุนแรงจากอุบัติเหตุ ส่วนพลาสม่าจะนำไปใช้ในกรณีปัญหาการแข็งตัวของ เลือด หรือโรคเลือดบางชนิด หรือภาวะการขาดโปรตีนหรือขาดสารอาหาร และอาจนำผลิตภัณฑ์เลือดไปใช้ในกรณีพิเศษอื่นๆ
เมื่อได้เลือดมาจะนำไปผ่านเครื่องปั่นเหวี่ยงแยกเลือด ปั่นด้วยความเร็วสูง 350 รอบต่อวินาที
การใช้เลือดให้กับสุนัขจะขึ้นอยู่กับหมอจะพิจารณา ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงตัวนั้นขาดอะไรก็จะให้ สิ่งนั้น ไม่ใช่ให้ทั้งหมด เพราะข้อดีของการให้เลือดคือ ช่วยชีวิตสัตว์ได้ แต่ก็มีข้อเสียด้วยคือ อาจจะทำให้ได้รับสารที่ไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายอาจจะเกิดปัญหาได้ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เลือด
ปัจจุบัน โรงพยาบาลเรามีความต้องการเลือดสูงมาก เฉลี่ยมีรายที่จะต้องให้เลือด 2-3 รายต่อวัน แต่ผู้บริจาคมีน้อย ส่วนหนึ่งแจ้ง ความจำนงเอาไว้ แต่มีแค่ 100 รายเท่านั้น ในรายที่ต้องการใช้เลือด เราไม่มีให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเจ้าของสุนัขด้วย กรณีเร่งด่วนจริงๆ มีหลายรายเสียชีวิตไป ร.พ.เราขาดแคลนเลือดในการสำรองไว้ใช้
นายสัตวแพทย์พายุกล่าวต่อว่า ซึ่งหากมีผู้ใจบุญนำสัตว์มาบริจาคเลือดมากๆ และอยู่ในขั้นเพียงพอแล้ว เราจะได้ส่งไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการอีก เช่น ที่โรงพยาบาลสัตว์กำแพงแสน
สุนัขมีกรุ๊ปเลือด 8 กรุ๊ป คือกรุ๊ป DEA 1.1, 1.2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, กรุ๊ป DEA 8 สามารถให้เลือดได้กับทุกกรุ๊ป คุณสมบัติของสุนัขที่ สามารถบริจาคได้คือ ต้องอยู่ระหว่างอายุ 1-6 ปี ไม่จำกัดเพศ พันธุ์ (ถ้าเป็นเพศเมียต้องรอให้หมดประจำเดือนก่อน) มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 20 ก.ก. มีประวัติการทำวัคซีนครบ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจ วัคซีนรวม วัคซีนพิษสุนัขบ้า ไม่มีประวัติของโรคพยาธิในเม็ดเลือด ไม่เคยรับการผ่าตัดใหญ่ในระยะ 1-2 เดือน และต้องมีสุขภาพแข็งแรง
หากสนใจบริจาคเลือดสามารถโทร.เข้ามาที่โรงพยาบาลสัตว์เล็ก แจ้งความจำนงไว้ ทาง ร.พ.จะจดพันธุ์ เพศ และเบอร์โทร.เพื่อติดต่อ กลับ โดยเราจะมีเจ้าหน้าที่ทำการนัดหมายนำสุนัขมาบริจาคเลือดอีกครั้งหนึ่ง ในอนาคตจะจัดให้เป็นหนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์สำหรับรับบริจาคเลือด และมีแนวคิดว่าอาจจะนำรถรับบริจาคเคลื่อนที่ เพราะได้รับการร้องขอมา เหมือนกันว่าบางครั้งที่บ้านเจ้าของสุนัขเขาอาจจะมีเป็น 10 ตัว แต่ไม่ สามารถนำมาได้ บางคนก็บอกว่าเหนื่อยมากกว่าจะพามาได้ บางรายก็บอก ว่ามีเวลาไม่มากพอ
ส่วนการจะไปนำเลือดจากสุนัขจรจัดของ กทม.คิดว่าเสี่ยงเกินไป เพราะเราไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหรือไม่ มีการจัดทำวัคซีนครบหรือไม่ ซึ่งหากมีอะไรเกิดขึ้นจะมีปัญหาใหญ่ตามมา
อยากให้ท่านเจ้าของสุนัขมั่นใจว่าการบริจาคเลือดไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกายของสุนัขทั้งสิ้น ยาที่ให้เป็นยานอนหลับบริเวณลำคอที่เจาะเลือด เราโกนขนให้เล็กที่สุดในตำแหน่งเส้นเลือดเท่านั้น และทำความสะอาด อย่างดีที่สุด มีการฆ่าเชื้อเช่นเดียวกับการทำผ่าตัดเลยทีเดียว อยากเชิญชวนผู้ใจบุญนำสัตว์เลี้ยงของท่านบริจาคเลือดมากๆ เพื่อสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ที่กำลังเจ็บป่วย
การแพ้วัคซีน
บทความพิเศษ:เรื่อง การแพ้วัคซีน
untitled.bmp
ปกติแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนประจำทุกๆปี ( ยกเว้นในลูกสุนัขที่เพิ่งเริ่มทำวัคซีนเป็นครั้งแรกต้องมีการกระตุ้นวัคซีน หลายครั้ง ) ซึ่งถือว่าเป็นการดูแลสัตว์เลี้ยงของท่านประจำทุกปี เว้นในรายที่ท่านเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่สนใจเท่านั้น การฉีดวัคซีนประจำปี เป็นการกระตุ้นภูมิต้านทานของสัตว์ ซึ่งย่อมต้องเกิดอาการอักเสบ สัตว์บางตัวจึงแสดงอาการซึม หรือมีอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และข้อต่อบางแห่ง หรือมีไข้อยู่ 1-2 วัน ภายหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งถือว่าเป็นปกติ และบางตัวก็ไม่แสดงอาการให้เห็น สัตว์จะกินอาหารละเล่นได้ตามปกติ แต่ในบางรายจะเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงกว่านั้น ซึ่งอาการจะเห็นได้อย่างชัดเจน อาการแพ้วัคซีน อาการแพ้ที่แสดงออกมักไม่เหมือนกันเลยทีเดียวในแต่ละตัว ข้อยู่กับการตอบสนองของสัตว์ที่มีต่อโปรตีนที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นวัคซีนเสมอไป อาจเป็นละอองเกสร , ฝุ่น , อาหาร หรือยาก็ได้ อาการแพ้ทุกชนิมักมีอาการลมพิษ , หน้าบวม , คลื้นไส้ ในรายที่รุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิต ไม่จำเป็นว่าสัตว์ต้องแสดงอาการทุกอย่างที่กล่าวมาให้เห็น อาจเกิดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการแพ้ ถ้าสัตว์แพ้เล็กน้อยก็คงไม่มีปัญหา ในรายที่แพ้รุนแรงมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เดินโซเซ ท่านเจ้าของควรรีบนำส่งสัตวแพทย์เป็นการด่วน ก่อนที่อาการจะทรุดลงไปกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้สัตว์ถึงแก่ชีวิตได้ อาการอาเจียนเป็นอาการที่แสดงว่าสัตว์อยู่ในภาวะที่อันตรายมากซึ่งบางครั้ง ท่านเจ้าของอาจนึกว่าเป็นอาการเมารถธรรมดาแต่ถ้าเกิดอาการเช่นนี้ให้รีบนำ ส่งสัตวแพทย์ แล้วเล่าอาการให้หมอฟังโดยด่วน ในกรณีที่สัตว์แพ้วัคซีน ครั้งต่อไปควรจะทำอย่างไร มีหลายขั้นตอนที่จะทำได้ หลังจากทราบว่าสัตว์ของท่านแพ้วัคซีน เช่น หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเลสโตไปโรซิส วัคซีนเลสโตไปโรซิส มักรวมอยู่ในวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัข เป็นส่วนของวัคซีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มากที่สุด เจ้าของควรบอกสัตวแพทย์ว่าไม่ต้องการให้สุนัขฉีดวัคซีนชนิดนี้ หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนรวมหลายๆโรคพร้อมกัน โดยขอให้สัตว์แพทย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแต่ละชนิดแยกกัน โดยอาจฉีดห่าง 1-2 สัปดาห์ เพื่อลดการกระตุ้นภูมิต้านทานลง เพื่อไม่ให้อาการแพ้รุนแรง และการแยกชนิดวัคซีน จะสามารถทำให้ทราบว่าสัตว์แพ้วัคซีนชนิดใด หลีกเลียงการฉีดวัคซีนเอง หรือ บุคคลที่ไม่ใช่สัตวแพทย์ฉีด แจ้งข้อมูลการแพ้วัคซีนของสัตว์เลี้ยงของท่านต่อสัตวแพทย์ทุกครั้ง ท่านเจ้าของควรจดจำชนิดวัคซีนที่สัตว์เลี้ยงแพ้ และแจ้ให้สัตวแพทย์ทราบทุกครั้งที่ไปฉีดวัคซีน อาจต้องมีการฉีดยาแก้แพ้ก่อนการฉีดวัคซีนในรายที่แพ้ทุกครั้ง การฉีดยาแก้แพ้ก่อนการฉีดวัควัคซีนเพื่อเป็นการป้องกันอาการแพ้ก่อนที่จะ เกิด และภายหลังการฉีดวัคซีนท่านเจ้าของควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงต่ออีก 1 – 2 วันหลังการฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสัตว์เลี้ยงของเจ้าของ การแพ้วัคซีนแม้จะเกิดขึ้นได้น้อย แต่บางครั้งก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าสัตว์เลี้ยง แพ้มากหรือน้อย แต่ไม่ใช่หมายความว่าท่านเจ้าของกลัวการแพ้วัคซีน จนไม่พาสัตว์เลี้ยงไปฉีด ********************************************************************** ***************
โรงพยาบาลสัตว์ เอ็น.พี. หรือ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0-2956-5276-7
untitled.bmp
ปกติแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนประจำทุกๆปี ( ยกเว้นในลูกสุนัขที่เพิ่งเริ่มทำวัคซีนเป็นครั้งแรกต้องมีการกระตุ้นวัคซีน หลายครั้ง ) ซึ่งถือว่าเป็นการดูแลสัตว์เลี้ยงของท่านประจำทุกปี เว้นในรายที่ท่านเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่สนใจเท่านั้น การฉีดวัคซีนประจำปี เป็นการกระตุ้นภูมิต้านทานของสัตว์ ซึ่งย่อมต้องเกิดอาการอักเสบ สัตว์บางตัวจึงแสดงอาการซึม หรือมีอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และข้อต่อบางแห่ง หรือมีไข้อยู่ 1-2 วัน ภายหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งถือว่าเป็นปกติ และบางตัวก็ไม่แสดงอาการให้เห็น สัตว์จะกินอาหารละเล่นได้ตามปกติ แต่ในบางรายจะเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงกว่านั้น ซึ่งอาการจะเห็นได้อย่างชัดเจน อาการแพ้วัคซีน อาการแพ้ที่แสดงออกมักไม่เหมือนกันเลยทีเดียวในแต่ละตัว ข้อยู่กับการตอบสนองของสัตว์ที่มีต่อโปรตีนที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นวัคซีนเสมอไป อาจเป็นละอองเกสร , ฝุ่น , อาหาร หรือยาก็ได้ อาการแพ้ทุกชนิมักมีอาการลมพิษ , หน้าบวม , คลื้นไส้ ในรายที่รุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิต ไม่จำเป็นว่าสัตว์ต้องแสดงอาการทุกอย่างที่กล่าวมาให้เห็น อาจเกิดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการแพ้ ถ้าสัตว์แพ้เล็กน้อยก็คงไม่มีปัญหา ในรายที่แพ้รุนแรงมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เดินโซเซ ท่านเจ้าของควรรีบนำส่งสัตวแพทย์เป็นการด่วน ก่อนที่อาการจะทรุดลงไปกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้สัตว์ถึงแก่ชีวิตได้ อาการอาเจียนเป็นอาการที่แสดงว่าสัตว์อยู่ในภาวะที่อันตรายมากซึ่งบางครั้ง ท่านเจ้าของอาจนึกว่าเป็นอาการเมารถธรรมดาแต่ถ้าเกิดอาการเช่นนี้ให้รีบนำ ส่งสัตวแพทย์ แล้วเล่าอาการให้หมอฟังโดยด่วน ในกรณีที่สัตว์แพ้วัคซีน ครั้งต่อไปควรจะทำอย่างไร มีหลายขั้นตอนที่จะทำได้ หลังจากทราบว่าสัตว์ของท่านแพ้วัคซีน เช่น หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเลสโตไปโรซิส วัคซีนเลสโตไปโรซิส มักรวมอยู่ในวัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัข เป็นส่วนของวัคซีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มากที่สุด เจ้าของควรบอกสัตวแพทย์ว่าไม่ต้องการให้สุนัขฉีดวัคซีนชนิดนี้ หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนรวมหลายๆโรคพร้อมกัน โดยขอให้สัตว์แพทย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแต่ละชนิดแยกกัน โดยอาจฉีดห่าง 1-2 สัปดาห์ เพื่อลดการกระตุ้นภูมิต้านทานลง เพื่อไม่ให้อาการแพ้รุนแรง และการแยกชนิดวัคซีน จะสามารถทำให้ทราบว่าสัตว์แพ้วัคซีนชนิดใด หลีกเลียงการฉีดวัคซีนเอง หรือ บุคคลที่ไม่ใช่สัตวแพทย์ฉีด แจ้งข้อมูลการแพ้วัคซีนของสัตว์เลี้ยงของท่านต่อสัตวแพทย์ทุกครั้ง ท่านเจ้าของควรจดจำชนิดวัคซีนที่สัตว์เลี้ยงแพ้ และแจ้ให้สัตวแพทย์ทราบทุกครั้งที่ไปฉีดวัคซีน อาจต้องมีการฉีดยาแก้แพ้ก่อนการฉีดวัคซีนในรายที่แพ้ทุกครั้ง การฉีดยาแก้แพ้ก่อนการฉีดวัควัคซีนเพื่อเป็นการป้องกันอาการแพ้ก่อนที่จะ เกิด และภายหลังการฉีดวัคซีนท่านเจ้าของควรสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงต่ออีก 1 – 2 วันหลังการฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสัตว์เลี้ยงของเจ้าของ การแพ้วัคซีนแม้จะเกิดขึ้นได้น้อย แต่บางครั้งก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าสัตว์เลี้ยง แพ้มากหรือน้อย แต่ไม่ใช่หมายความว่าท่านเจ้าของกลัวการแพ้วัคซีน จนไม่พาสัตว์เลี้ยงไปฉีด ********************************************************************** ***************
โรงพยาบาลสัตว์ เอ็น.พี. หรือ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0-2956-5276-7
ฝีหนอง ในสุนัข
abscess หรือ ฝีหนอง
เป็นถุงหรือก้อนที่มีหนองอยู่ภายใน บางครั้งฝีอาจจะแตกและมีหนองไหลออกมา ถ้าแฝลเล็กหรือฝีเล็ก ให้ล้างแผลด้วย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แล้วทาด้วยยาใส่แผลสด มักปล่อยให้ปากแผลเปิดเพื่อให้หนองไหลออก และควรระวังไม่ให้สัตว์เลียหรือแทะแผล ถ้าจำเป็นควรใส่ปลอกคอกันเลีย
ถ้าฝียังไม่แตกให้ประคบร้อนวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที่ เพื่อให้เลือดมาเลี้ยงที่ฝีมากขึ้น เมื่อฝีสุกคือนิ่มลงให้พาไปหาหมอเพื่อเจาะหนองออกบางรายอาจต้องวางยาสลบขณะ รักษา และให้ยาปฏิชีวนะกิน
เป็นถุงหรือก้อนที่มีหนองอยู่ภายใน บางครั้งฝีอาจจะแตกและมีหนองไหลออกมา ถ้าแฝลเล็กหรือฝีเล็ก ให้ล้างแผลด้วย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แล้วทาด้วยยาใส่แผลสด มักปล่อยให้ปากแผลเปิดเพื่อให้หนองไหลออก และควรระวังไม่ให้สัตว์เลียหรือแทะแผล ถ้าจำเป็นควรใส่ปลอกคอกันเลีย
ถ้าฝียังไม่แตกให้ประคบร้อนวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที่ เพื่อให้เลือดมาเลี้ยงที่ฝีมากขึ้น เมื่อฝีสุกคือนิ่มลงให้พาไปหาหมอเพื่อเจาะหนองออกบางรายอาจต้องวางยาสลบขณะ รักษา และให้ยาปฏิชีวนะกิน
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
3. เรื่องหมา - หมา
3. เรื่องหมา - หมา
หมา เป็นสัตว์ที่คนไทยหรือคนชาติไหน ๆ ในโลกนิยมเลี้ยงกันมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น และเป็นเพื่อนที่ตอบสนองทางจิตใจได้ดี เราสามารถสัมผัสมันหรือแม้แต่จะพูด คุยกับมันได้ แต่เราไม่มีทางทำอย่างนั้นได้เลยกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เช่น ปลาเงิน , ปลาทอง , งูหลาม , หรือกิ้งก่าอีกัวนา ส่วนเหตุผลรองก็คือ เลี้ยงมันไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการจับหนู คาบสัตว์ที่ถูกยิงมาให้เจ้าของหรือเฝ้าบ้าน
หมา มีหน้าที่ที่คนมอบหมายให้ทำต่างกัน จึงเกิดการเพาะพันธุ์ที่แตกต่างกัน หมาฝรั่ง เช่น โกลเดนรีทรีฟเวอร์ มีหน้าที่ติดตามพรานไปคาบมา ดัชชุนต์ต้องตัวยาวเพื่อมุดโพรงไปล่าหนู ส่วนหมาไทย เช่น บางแก้ว ซึ่งเป็นพันธุ์ใหม่ที่ผสมพันธุ์ระหว่างหมาที่อำเภอบางแก้ว จ.พิษณุโลก กับหมาจิ้งจอก หรือหมาป่านั้นก็มีไว้เฝ้าบ้าน หรือใช้ในกิจกรรมทางทหาร
กล่าวเฉพาะหมาพันธุ์ที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังอยู่เนือง ๆ คือ ร๊อทไวเลอร์ มีถิ่นกำเนิดในอิตาลีเมื่อสองพันปีกว่ามาแล้ว กองทัพโรมันใช้หมาพันธุ์นี้เป็นสุนัขสงคราม นำมันติดตามไปทุกที่ แต่ไปขยายพันธุ์ได้ดีในเมืองร๊อทไวล์ เยอรมนี ลักษณะเด่นของร๊อทไวเลอร์ คือกรามที่แข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ เป็นพันธุ์ที่แรงกัดหนักที่สุด สามารถขบกระดูกขาวัวใหญ่ ๆ ให้แตกได้ในการงับเพียงไม่กี่ครั้ง ลักษณะทางกายภาพที่กำยำล่ำสัน เต็มไปด้วยมัดกล้าม ทำให้มันเหมาะที่จะใช้งานในกองทัพ เป็นหมาหนึ่งในไม่กี่พันธุ์ที่ไม่เกี่ยงสภาพดินฟ้า อากาศ มนุษย์สามารถเลี้ยงร๊อทตี้ได้ในสภาพทะเลทรายไปจนถึงไซบีเรีย
ยิ่งกว่านั้นเป็นหมาฉลาด กระโหลกใหญ่ บรรจุไว้ด้วยสมองก้อนใหญ่ที่คู่มือเลี้ยงหมาของฝรั่งต่างใช้คำบรรยายตรงกัน ว่า
"highly intelligent" เป็นหมาหนึ่งในไม่กี่พันธุ์ที่สอนง่าย ภักดีต่อเจ้าของ และแน่นอน... ฉลาดที่สุด
แต่ข้อเสียของร๊อทไวเลอร์ ก็คือ มันเป็นหมาที่ไม่อดทนต่อการกดดัน โดยเฉพาะด้านจิตใจ การเลี้ยงอย่างไม่เอาใจใส่ การกำจัดเขต ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันให้มันทั้งสิ้น เนื่องจากหมาพันธุ์นี้แข็งแรง และกัดได้รุนแรงกว่าหมาพันธุ์อื่น จึงต้องการการดูและเป็นพิเศษ การมีคู่มือเลี้ยงมันจะช่วยให้ปฏิบัติตัวกับมันได้ถูกต้อง อาทิช่วงวัยขนาดไหนควรพามันไปพบคนมาก ๆ เพื่อให้ไม่กลัวคน ไม่กัด ช่วงเวลาไหนควรพาไปเรียน หรือจะจัดสถานที่เลี้ยงดูหมาอย่างไรจึงจะเหมาะสม ด้วยความที่ร๊อทไวเลอร์ ภักดีต่อเจ้าของ
(ใช้คำว่า รัก นั้นน้อยไปสำหรับหมาพันธุ์นี้) เจ้าของหรือผู้เลี้ยงจึงควรรักมันด้วยความจริงใจ พูดคุยกับมัน จูบ กอดมันด้วยความจริงใจ ให้มันสัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อมัน เมื่อมันรักเรา เรารักมันตอบกอดจูบดูแลอย่างจริงใจและผูกพัน ความรักนั้นจะเผื่อแผ่ไปยังมนุษย์คนอื่นด้วย
ร๊อทไวเลอร์ที่เจ้าของ เลี้ยงอย่างรักใคร่จะไม่ดุร้าย และมันจะรักมนุษย์คนอื่น ๆ ด้วย เคยมีคนให้มันทำหน้าที่เป็นเพื่อนเด็กเล็กได้เมื่อเลี้ยงให้โตมาด้วยกัน ความอดทนต่ำต่อแรงกดดัน ทำให้ต้องเลี้ยงมันด้วยบริเวณกว้างพอสมควร การขังกรงตลอดเวลานับว่าไม่สมควร ยิ่งขังกันทีละสองสามตัวยิ่งเลวร้าย หมาจะเครียดและกลายเป็นดุ เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด ร๊อทไวเลอร์ไม่ได้ดุมากไปกว่าบางแก้วหรือบูลเทอเรีย แต่เรี่ยวแรงของมันนั้นมีมหาศาล แค่มันกัดเบา ๆ เพราะตกใจ ก็สามารถทำให้เลือดเป็นทางยาวได้แล้วสำหรับผู้ใหญ่ ลองคิดดูเถิดว่าถ้าเป็นเด็กกระดูกอ่อน ๆ จะสาหัสแค่ไหน
ร๊อทไวเลอร์ ดุเท่ากับหมาทุกพันธุ์ที่มนุษย์เลี้ยงอย่างไม่ใส่ใจ แต่สร้างความเสียหายได้มากกว่าเพราะมันแข็งแรงกว่า เจ้าของต้องเป็นคนที่แข็งแรงมากจึงจะดึงร็อตไวเลอร์น้ำหนัก 40 ก.ก.ให้อยู่ ต้องกันมันให้อยู่ห่างจากคนอื่น ๆ เพราะมีโอกาสมากเหลือเกินที่จะก่อความเสียหาย ทั้งทรัพย์สินและชีวิต
ร๊อทไวเลอร์และหมาพันธุ์อื่น ๆ จะดุหรือน่ารักนั้น ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร และถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้น คนที่รับกรรมก็คงเป็นคนเลี้ยงนั่นเอง ที่เป็นคดีขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ในเรื่องความดุร้ายของร๊อทไวเลอร์นั้น สื่อต่าง ๆ ลืมคำนึงถึงวิธีเลี้ยงดู มุ่งเขียนข่าวแต่ด้านโหดเพื่อเรียกยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าสืบสวนลึกลงไปก็จะรู้ว่าเหตุร้ายเกือบทั้งหมดมีต้นตอมาจากวิธีการ เลี้ยงดูของคนนั่นเอง หาใช่ตัวหมาดุเองไม่
วิถีชีวิตของหมา หรือแม้แต่คน ถูกกำหนดโดยคนเลี้ยง และสภาพแวดล้อม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก “เรื่องหมา ๆ” ในคอลัมน์ ขอบฟ้ากว้าง โดย ดุษฏี พนมยงค์ หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1383 ประจำวันที่ 16-22 ก.พ. 2550
บันทึกถึงผู้เขียน
ขอคารวะ และขอบคุณ “ครูดุษ” อย่างจริงใจ ที่ถ่ายทอดความเข้าใจอันถูกต้องชัดเจนต่อร๊อทไวเลอร์ ได้อย่างลึกซึ้งและมีคุณค่ายิ่ง ให้กับสังคมนอกวงการผู้นิยมร๊อทไวเลอร์ ได้รู้จักร็อตไวเลอร์ในอีกแง่มุมหนึ่ง นอกเหนือไปจากที่มักจะตกเป็น “จำเลยจอมโหด” ทางสื่ออยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะข้อสรุปในเรื่องวิถีชีวิตของสุนัขที่ขึ้นอยู่กับเจ้าของ และสิ่งแวดล้อมนั้น สำคัญยิ่ง
หมา เป็นสัตว์ที่คนไทยหรือคนชาติไหน ๆ ในโลกนิยมเลี้ยงกันมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น และเป็นเพื่อนที่ตอบสนองทางจิตใจได้ดี เราสามารถสัมผัสมันหรือแม้แต่จะพูด คุยกับมันได้ แต่เราไม่มีทางทำอย่างนั้นได้เลยกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เช่น ปลาเงิน , ปลาทอง , งูหลาม , หรือกิ้งก่าอีกัวนา ส่วนเหตุผลรองก็คือ เลี้ยงมันไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการจับหนู คาบสัตว์ที่ถูกยิงมาให้เจ้าของหรือเฝ้าบ้าน
หมา มีหน้าที่ที่คนมอบหมายให้ทำต่างกัน จึงเกิดการเพาะพันธุ์ที่แตกต่างกัน หมาฝรั่ง เช่น โกลเดนรีทรีฟเวอร์ มีหน้าที่ติดตามพรานไปคาบมา ดัชชุนต์ต้องตัวยาวเพื่อมุดโพรงไปล่าหนู ส่วนหมาไทย เช่น บางแก้ว ซึ่งเป็นพันธุ์ใหม่ที่ผสมพันธุ์ระหว่างหมาที่อำเภอบางแก้ว จ.พิษณุโลก กับหมาจิ้งจอก หรือหมาป่านั้นก็มีไว้เฝ้าบ้าน หรือใช้ในกิจกรรมทางทหาร
กล่าวเฉพาะหมาพันธุ์ที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังอยู่เนือง ๆ คือ ร๊อทไวเลอร์ มีถิ่นกำเนิดในอิตาลีเมื่อสองพันปีกว่ามาแล้ว กองทัพโรมันใช้หมาพันธุ์นี้เป็นสุนัขสงคราม นำมันติดตามไปทุกที่ แต่ไปขยายพันธุ์ได้ดีในเมืองร๊อทไวล์ เยอรมนี ลักษณะเด่นของร๊อทไวเลอร์ คือกรามที่แข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ เป็นพันธุ์ที่แรงกัดหนักที่สุด สามารถขบกระดูกขาวัวใหญ่ ๆ ให้แตกได้ในการงับเพียงไม่กี่ครั้ง ลักษณะทางกายภาพที่กำยำล่ำสัน เต็มไปด้วยมัดกล้าม ทำให้มันเหมาะที่จะใช้งานในกองทัพ เป็นหมาหนึ่งในไม่กี่พันธุ์ที่ไม่เกี่ยงสภาพดินฟ้า อากาศ มนุษย์สามารถเลี้ยงร๊อทตี้ได้ในสภาพทะเลทรายไปจนถึงไซบีเรีย
ยิ่งกว่านั้นเป็นหมาฉลาด กระโหลกใหญ่ บรรจุไว้ด้วยสมองก้อนใหญ่ที่คู่มือเลี้ยงหมาของฝรั่งต่างใช้คำบรรยายตรงกัน ว่า
"highly intelligent" เป็นหมาหนึ่งในไม่กี่พันธุ์ที่สอนง่าย ภักดีต่อเจ้าของ และแน่นอน... ฉลาดที่สุด
แต่ข้อเสียของร๊อทไวเลอร์ ก็คือ มันเป็นหมาที่ไม่อดทนต่อการกดดัน โดยเฉพาะด้านจิตใจ การเลี้ยงอย่างไม่เอาใจใส่ การกำจัดเขต ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันให้มันทั้งสิ้น เนื่องจากหมาพันธุ์นี้แข็งแรง และกัดได้รุนแรงกว่าหมาพันธุ์อื่น จึงต้องการการดูและเป็นพิเศษ การมีคู่มือเลี้ยงมันจะช่วยให้ปฏิบัติตัวกับมันได้ถูกต้อง อาทิช่วงวัยขนาดไหนควรพามันไปพบคนมาก ๆ เพื่อให้ไม่กลัวคน ไม่กัด ช่วงเวลาไหนควรพาไปเรียน หรือจะจัดสถานที่เลี้ยงดูหมาอย่างไรจึงจะเหมาะสม ด้วยความที่ร๊อทไวเลอร์ ภักดีต่อเจ้าของ
(ใช้คำว่า รัก นั้นน้อยไปสำหรับหมาพันธุ์นี้) เจ้าของหรือผู้เลี้ยงจึงควรรักมันด้วยความจริงใจ พูดคุยกับมัน จูบ กอดมันด้วยความจริงใจ ให้มันสัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อมัน เมื่อมันรักเรา เรารักมันตอบกอดจูบดูแลอย่างจริงใจและผูกพัน ความรักนั้นจะเผื่อแผ่ไปยังมนุษย์คนอื่นด้วย
ร๊อทไวเลอร์ที่เจ้าของ เลี้ยงอย่างรักใคร่จะไม่ดุร้าย และมันจะรักมนุษย์คนอื่น ๆ ด้วย เคยมีคนให้มันทำหน้าที่เป็นเพื่อนเด็กเล็กได้เมื่อเลี้ยงให้โตมาด้วยกัน ความอดทนต่ำต่อแรงกดดัน ทำให้ต้องเลี้ยงมันด้วยบริเวณกว้างพอสมควร การขังกรงตลอดเวลานับว่าไม่สมควร ยิ่งขังกันทีละสองสามตัวยิ่งเลวร้าย หมาจะเครียดและกลายเป็นดุ เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด ร๊อทไวเลอร์ไม่ได้ดุมากไปกว่าบางแก้วหรือบูลเทอเรีย แต่เรี่ยวแรงของมันนั้นมีมหาศาล แค่มันกัดเบา ๆ เพราะตกใจ ก็สามารถทำให้เลือดเป็นทางยาวได้แล้วสำหรับผู้ใหญ่ ลองคิดดูเถิดว่าถ้าเป็นเด็กกระดูกอ่อน ๆ จะสาหัสแค่ไหน
ร๊อทไวเลอร์ ดุเท่ากับหมาทุกพันธุ์ที่มนุษย์เลี้ยงอย่างไม่ใส่ใจ แต่สร้างความเสียหายได้มากกว่าเพราะมันแข็งแรงกว่า เจ้าของต้องเป็นคนที่แข็งแรงมากจึงจะดึงร็อตไวเลอร์น้ำหนัก 40 ก.ก.ให้อยู่ ต้องกันมันให้อยู่ห่างจากคนอื่น ๆ เพราะมีโอกาสมากเหลือเกินที่จะก่อความเสียหาย ทั้งทรัพย์สินและชีวิต
ร๊อทไวเลอร์และหมาพันธุ์อื่น ๆ จะดุหรือน่ารักนั้น ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร และถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้น คนที่รับกรรมก็คงเป็นคนเลี้ยงนั่นเอง ที่เป็นคดีขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ในเรื่องความดุร้ายของร๊อทไวเลอร์นั้น สื่อต่าง ๆ ลืมคำนึงถึงวิธีเลี้ยงดู มุ่งเขียนข่าวแต่ด้านโหดเพื่อเรียกยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าสืบสวนลึกลงไปก็จะรู้ว่าเหตุร้ายเกือบทั้งหมดมีต้นตอมาจากวิธีการ เลี้ยงดูของคนนั่นเอง หาใช่ตัวหมาดุเองไม่
วิถีชีวิตของหมา หรือแม้แต่คน ถูกกำหนดโดยคนเลี้ยง และสภาพแวดล้อม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก “เรื่องหมา ๆ” ในคอลัมน์ ขอบฟ้ากว้าง โดย ดุษฏี พนมยงค์ หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1383 ประจำวันที่ 16-22 ก.พ. 2550
บันทึกถึงผู้เขียน
ขอคารวะ และขอบคุณ “ครูดุษ” อย่างจริงใจ ที่ถ่ายทอดความเข้าใจอันถูกต้องชัดเจนต่อร๊อทไวเลอร์ ได้อย่างลึกซึ้งและมีคุณค่ายิ่ง ให้กับสังคมนอกวงการผู้นิยมร๊อทไวเลอร์ ได้รู้จักร็อตไวเลอร์ในอีกแง่มุมหนึ่ง นอกเหนือไปจากที่มักจะตกเป็น “จำเลยจอมโหด” ทางสื่ออยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะข้อสรุปในเรื่องวิถีชีวิตของสุนัขที่ขึ้นอยู่กับเจ้าของ และสิ่งแวดล้อมนั้น สำคัญยิ่ง
3. เรื่องหมา - หมา
3. เรื่องหมา - หมา
หมา เป็นสัตว์ที่คนไทยหรือคนชาติไหน ๆ ในโลกนิยมเลี้ยงกันมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น และเป็นเพื่อนที่ตอบสนองทางจิตใจได้ดี เราสามารถสัมผัสมันหรือแม้แต่จะพูด คุยกับมันได้ แต่เราไม่มีทางทำอย่างนั้นได้เลยกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เช่น ปลาเงิน , ปลาทอง , งูหลาม , หรือกิ้งก่าอีกัวนา ส่วนเหตุผลรองก็คือ เลี้ยงมันไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการจับหนู คาบสัตว์ที่ถูกยิงมาให้เจ้าของหรือเฝ้าบ้าน
หมา มีหน้าที่ที่คนมอบหมายให้ทำต่างกัน จึงเกิดการเพาะพันธุ์ที่แตกต่างกัน หมาฝรั่ง เช่น โกลเดนรีทรีฟเวอร์ มีหน้าที่ติดตามพรานไปคาบมา ดัชชุนต์ต้องตัวยาวเพื่อมุดโพรงไปล่าหนู ส่วนหมาไทย เช่น บางแก้ว ซึ่งเป็นพันธุ์ใหม่ที่ผสมพันธุ์ระหว่างหมาที่อำเภอบางแก้ว จ.พิษณุโลก กับหมาจิ้งจอก หรือหมาป่านั้นก็มีไว้เฝ้าบ้าน หรือใช้ในกิจกรรมทางทหาร
กล่าวเฉพาะหมาพันธุ์ที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังอยู่เนือง ๆ คือ ร๊อทไวเลอร์ มีถิ่นกำเนิดในอิตาลีเมื่อสองพันปีกว่ามาแล้ว กองทัพโรมันใช้หมาพันธุ์นี้เป็นสุนัขสงคราม นำมันติดตามไปทุกที่ แต่ไปขยายพันธุ์ได้ดีในเมืองร๊อทไวล์ เยอรมนี ลักษณะเด่นของร๊อทไวเลอร์ คือกรามที่แข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ เป็นพันธุ์ที่แรงกัดหนักที่สุด สามารถขบกระดูกขาวัวใหญ่ ๆ ให้แตกได้ในการงับเพียงไม่กี่ครั้ง ลักษณะทางกายภาพที่กำยำล่ำสัน เต็มไปด้วยมัดกล้าม ทำให้มันเหมาะที่จะใช้งานในกองทัพ เป็นหมาหนึ่งในไม่กี่พันธุ์ที่ไม่เกี่ยงสภาพดินฟ้า อากาศ มนุษย์สามารถเลี้ยงร๊อทตี้ได้ในสภาพทะเลทรายไปจนถึงไซบีเรีย
ยิ่งกว่านั้นเป็นหมาฉลาด กระโหลกใหญ่ บรรจุไว้ด้วยสมองก้อนใหญ่ที่คู่มือเลี้ยงหมาของฝรั่งต่างใช้คำบรรยายตรงกัน ว่า
"highly intelligent" เป็นหมาหนึ่งในไม่กี่พันธุ์ที่สอนง่าย ภักดีต่อเจ้าของ และแน่นอน... ฉลาดที่สุด
แต่ข้อเสียของร๊อทไวเลอร์ ก็คือ มันเป็นหมาที่ไม่อดทนต่อการกดดัน โดยเฉพาะด้านจิตใจ การเลี้ยงอย่างไม่เอาใจใส่ การกำจัดเขต ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันให้มันทั้งสิ้น เนื่องจากหมาพันธุ์นี้แข็งแรง และกัดได้รุนแรงกว่าหมาพันธุ์อื่น จึงต้องการการดูและเป็นพิเศษ การมีคู่มือเลี้ยงมันจะช่วยให้ปฏิบัติตัวกับมันได้ถูกต้อง อาทิช่วงวัยขนาดไหนควรพามันไปพบคนมาก ๆ เพื่อให้ไม่กลัวคน ไม่กัด ช่วงเวลาไหนควรพาไปเรียน หรือจะจัดสถานที่เลี้ยงดูหมาอย่างไรจึงจะเหมาะสม ด้วยความที่ร๊อทไวเลอร์ ภักดีต่อเจ้าของ
(ใช้คำว่า รัก นั้นน้อยไปสำหรับหมาพันธุ์นี้) เจ้าของหรือผู้เลี้ยงจึงควรรักมันด้วยความจริงใจ พูดคุยกับมัน จูบ กอดมันด้วยความจริงใจ ให้มันสัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อมัน เมื่อมันรักเรา เรารักมันตอบกอดจูบดูแลอย่างจริงใจและผูกพัน ความรักนั้นจะเผื่อแผ่ไปยังมนุษย์คนอื่นด้วย
ร๊อทไวเลอร์ที่เจ้าของ เลี้ยงอย่างรักใคร่จะไม่ดุร้าย และมันจะรักมนุษย์คนอื่น ๆ ด้วย เคยมีคนให้มันทำหน้าที่เป็นเพื่อนเด็กเล็กได้เมื่อเลี้ยงให้โตมาด้วยกัน ความอดทนต่ำต่อแรงกดดัน ทำให้ต้องเลี้ยงมันด้วยบริเวณกว้างพอสมควร การขังกรงตลอดเวลานับว่าไม่สมควร ยิ่งขังกันทีละสองสามตัวยิ่งเลวร้าย หมาจะเครียดและกลายเป็นดุ เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด ร๊อทไวเลอร์ไม่ได้ดุมากไปกว่าบางแก้วหรือบูลเทอเรีย แต่เรี่ยวแรงของมันนั้นมีมหาศาล แค่มันกัดเบา ๆ เพราะตกใจ ก็สามารถทำให้เลือดเป็นทางยาวได้แล้วสำหรับผู้ใหญ่ ลองคิดดูเถิดว่าถ้าเป็นเด็กกระดูกอ่อน ๆ จะสาหัสแค่ไหน
ร๊อทไวเลอร์ ดุเท่ากับหมาทุกพันธุ์ที่มนุษย์เลี้ยงอย่างไม่ใส่ใจ แต่สร้างความเสียหายได้มากกว่าเพราะมันแข็งแรงกว่า เจ้าของต้องเป็นคนที่แข็งแรงมากจึงจะดึงร็อตไวเลอร์น้ำหนัก 40 ก.ก.ให้อยู่ ต้องกันมันให้อยู่ห่างจากคนอื่น ๆ เพราะมีโอกาสมากเหลือเกินที่จะก่อความเสียหาย ทั้งทรัพย์สินและชีวิต
ร๊อทไวเลอร์และหมาพันธุ์อื่น ๆ จะดุหรือน่ารักนั้น ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร และถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้น คนที่รับกรรมก็คงเป็นคนเลี้ยงนั่นเอง ที่เป็นคดีขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ในเรื่องความดุร้ายของร๊อทไวเลอร์นั้น สื่อต่าง ๆ ลืมคำนึงถึงวิธีเลี้ยงดู มุ่งเขียนข่าวแต่ด้านโหดเพื่อเรียกยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าสืบสวนลึกลงไปก็จะรู้ว่าเหตุร้ายเกือบทั้งหมดมีต้นตอมาจากวิธีการ เลี้ยงดูของคนนั่นเอง หาใช่ตัวหมาดุเองไม่
วิถีชีวิตของหมา หรือแม้แต่คน ถูกกำหนดโดยคนเลี้ยง และสภาพแวดล้อม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก “เรื่องหมา ๆ” ในคอลัมน์ ขอบฟ้ากว้าง โดย ดุษฏี พนมยงค์ หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1383 ประจำวันที่ 16-22 ก.พ. 2550
บันทึกถึงผู้เขียน
ขอคารวะ และขอบคุณ “ครูดุษ” อย่างจริงใจ ที่ถ่ายทอดความเข้าใจอันถูกต้องชัดเจนต่อร๊อทไวเลอร์ ได้อย่างลึกซึ้งและมีคุณค่ายิ่ง ให้กับสังคมนอกวงการผู้นิยมร๊อทไวเลอร์ ได้รู้จักร็อตไวเลอร์ในอีกแง่มุมหนึ่ง นอกเหนือไปจากที่มักจะตกเป็น “จำเลยจอมโหด” ทางสื่ออยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะข้อสรุปในเรื่องวิถีชีวิตของสุนัขที่ขึ้นอยู่กับเจ้าของ และสิ่งแวดล้อมนั้น สำคัญยิ่ง
หมา เป็นสัตว์ที่คนไทยหรือคนชาติไหน ๆ ในโลกนิยมเลี้ยงกันมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น และเป็นเพื่อนที่ตอบสนองทางจิตใจได้ดี เราสามารถสัมผัสมันหรือแม้แต่จะพูด คุยกับมันได้ แต่เราไม่มีทางทำอย่างนั้นได้เลยกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ เช่น ปลาเงิน , ปลาทอง , งูหลาม , หรือกิ้งก่าอีกัวนา ส่วนเหตุผลรองก็คือ เลี้ยงมันไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการจับหนู คาบสัตว์ที่ถูกยิงมาให้เจ้าของหรือเฝ้าบ้าน
หมา มีหน้าที่ที่คนมอบหมายให้ทำต่างกัน จึงเกิดการเพาะพันธุ์ที่แตกต่างกัน หมาฝรั่ง เช่น โกลเดนรีทรีฟเวอร์ มีหน้าที่ติดตามพรานไปคาบมา ดัชชุนต์ต้องตัวยาวเพื่อมุดโพรงไปล่าหนู ส่วนหมาไทย เช่น บางแก้ว ซึ่งเป็นพันธุ์ใหม่ที่ผสมพันธุ์ระหว่างหมาที่อำเภอบางแก้ว จ.พิษณุโลก กับหมาจิ้งจอก หรือหมาป่านั้นก็มีไว้เฝ้าบ้าน หรือใช้ในกิจกรรมทางทหาร
กล่าวเฉพาะหมาพันธุ์ที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังอยู่เนือง ๆ คือ ร๊อทไวเลอร์ มีถิ่นกำเนิดในอิตาลีเมื่อสองพันปีกว่ามาแล้ว กองทัพโรมันใช้หมาพันธุ์นี้เป็นสุนัขสงคราม นำมันติดตามไปทุกที่ แต่ไปขยายพันธุ์ได้ดีในเมืองร๊อทไวล์ เยอรมนี ลักษณะเด่นของร๊อทไวเลอร์ คือกรามที่แข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ เป็นพันธุ์ที่แรงกัดหนักที่สุด สามารถขบกระดูกขาวัวใหญ่ ๆ ให้แตกได้ในการงับเพียงไม่กี่ครั้ง ลักษณะทางกายภาพที่กำยำล่ำสัน เต็มไปด้วยมัดกล้าม ทำให้มันเหมาะที่จะใช้งานในกองทัพ เป็นหมาหนึ่งในไม่กี่พันธุ์ที่ไม่เกี่ยงสภาพดินฟ้า อากาศ มนุษย์สามารถเลี้ยงร๊อทตี้ได้ในสภาพทะเลทรายไปจนถึงไซบีเรีย
ยิ่งกว่านั้นเป็นหมาฉลาด กระโหลกใหญ่ บรรจุไว้ด้วยสมองก้อนใหญ่ที่คู่มือเลี้ยงหมาของฝรั่งต่างใช้คำบรรยายตรงกัน ว่า
"highly intelligent" เป็นหมาหนึ่งในไม่กี่พันธุ์ที่สอนง่าย ภักดีต่อเจ้าของ และแน่นอน... ฉลาดที่สุด
แต่ข้อเสียของร๊อทไวเลอร์ ก็คือ มันเป็นหมาที่ไม่อดทนต่อการกดดัน โดยเฉพาะด้านจิตใจ การเลี้ยงอย่างไม่เอาใจใส่ การกำจัดเขต ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันให้มันทั้งสิ้น เนื่องจากหมาพันธุ์นี้แข็งแรง และกัดได้รุนแรงกว่าหมาพันธุ์อื่น จึงต้องการการดูและเป็นพิเศษ การมีคู่มือเลี้ยงมันจะช่วยให้ปฏิบัติตัวกับมันได้ถูกต้อง อาทิช่วงวัยขนาดไหนควรพามันไปพบคนมาก ๆ เพื่อให้ไม่กลัวคน ไม่กัด ช่วงเวลาไหนควรพาไปเรียน หรือจะจัดสถานที่เลี้ยงดูหมาอย่างไรจึงจะเหมาะสม ด้วยความที่ร๊อทไวเลอร์ ภักดีต่อเจ้าของ
(ใช้คำว่า รัก นั้นน้อยไปสำหรับหมาพันธุ์นี้) เจ้าของหรือผู้เลี้ยงจึงควรรักมันด้วยความจริงใจ พูดคุยกับมัน จูบ กอดมันด้วยความจริงใจ ให้มันสัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อมัน เมื่อมันรักเรา เรารักมันตอบกอดจูบดูแลอย่างจริงใจและผูกพัน ความรักนั้นจะเผื่อแผ่ไปยังมนุษย์คนอื่นด้วย
ร๊อทไวเลอร์ที่เจ้าของ เลี้ยงอย่างรักใคร่จะไม่ดุร้าย และมันจะรักมนุษย์คนอื่น ๆ ด้วย เคยมีคนให้มันทำหน้าที่เป็นเพื่อนเด็กเล็กได้เมื่อเลี้ยงให้โตมาด้วยกัน ความอดทนต่ำต่อแรงกดดัน ทำให้ต้องเลี้ยงมันด้วยบริเวณกว้างพอสมควร การขังกรงตลอดเวลานับว่าไม่สมควร ยิ่งขังกันทีละสองสามตัวยิ่งเลวร้าย หมาจะเครียดและกลายเป็นดุ เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด ร๊อทไวเลอร์ไม่ได้ดุมากไปกว่าบางแก้วหรือบูลเทอเรีย แต่เรี่ยวแรงของมันนั้นมีมหาศาล แค่มันกัดเบา ๆ เพราะตกใจ ก็สามารถทำให้เลือดเป็นทางยาวได้แล้วสำหรับผู้ใหญ่ ลองคิดดูเถิดว่าถ้าเป็นเด็กกระดูกอ่อน ๆ จะสาหัสแค่ไหน
ร๊อทไวเลอร์ ดุเท่ากับหมาทุกพันธุ์ที่มนุษย์เลี้ยงอย่างไม่ใส่ใจ แต่สร้างความเสียหายได้มากกว่าเพราะมันแข็งแรงกว่า เจ้าของต้องเป็นคนที่แข็งแรงมากจึงจะดึงร็อตไวเลอร์น้ำหนัก 40 ก.ก.ให้อยู่ ต้องกันมันให้อยู่ห่างจากคนอื่น ๆ เพราะมีโอกาสมากเหลือเกินที่จะก่อความเสียหาย ทั้งทรัพย์สินและชีวิต
ร๊อทไวเลอร์และหมาพันธุ์อื่น ๆ จะดุหรือน่ารักนั้น ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร และถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้น คนที่รับกรรมก็คงเป็นคนเลี้ยงนั่นเอง ที่เป็นคดีขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ในเรื่องความดุร้ายของร๊อทไวเลอร์นั้น สื่อต่าง ๆ ลืมคำนึงถึงวิธีเลี้ยงดู มุ่งเขียนข่าวแต่ด้านโหดเพื่อเรียกยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าสืบสวนลึกลงไปก็จะรู้ว่าเหตุร้ายเกือบทั้งหมดมีต้นตอมาจากวิธีการ เลี้ยงดูของคนนั่นเอง หาใช่ตัวหมาดุเองไม่
วิถีชีวิตของหมา หรือแม้แต่คน ถูกกำหนดโดยคนเลี้ยง และสภาพแวดล้อม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก “เรื่องหมา ๆ” ในคอลัมน์ ขอบฟ้ากว้าง โดย ดุษฏี พนมยงค์ หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1383 ประจำวันที่ 16-22 ก.พ. 2550
บันทึกถึงผู้เขียน
ขอคารวะ และขอบคุณ “ครูดุษ” อย่างจริงใจ ที่ถ่ายทอดความเข้าใจอันถูกต้องชัดเจนต่อร๊อทไวเลอร์ ได้อย่างลึกซึ้งและมีคุณค่ายิ่ง ให้กับสังคมนอกวงการผู้นิยมร๊อทไวเลอร์ ได้รู้จักร็อตไวเลอร์ในอีกแง่มุมหนึ่ง นอกเหนือไปจากที่มักจะตกเป็น “จำเลยจอมโหด” ทางสื่ออยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะข้อสรุปในเรื่องวิถีชีวิตของสุนัขที่ขึ้นอยู่กับเจ้าของ และสิ่งแวดล้อมนั้น สำคัญยิ่ง
บทความพิเศษ เรื่อง สุนัขดุ โดย โรงพยาบาลสัตว์ เอ็น.พี.
กรุงเทพฯ--30 มี.ค.--นิวส์ เพอร์เฟคฯ
ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งที่เราได้พบกันบ่อยครั้งคือการที่สุนัขที่เราเลี้ยง ไว้ทำร้ายคน หรือเด็กจนบาดเจ็บหรือถึงกับเสียชีวิต น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้เจ้าของที่เลี้ยงควรจะศึกษาอุปนิสัยและสายพันธุ์ของ สุนัข เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้อีกในอนาคต ทุกครั้งที่มีข่าวก็ดูเหมือนว่าจะมีการตื่นกลัวกันแล้วก็เงียบหายไป จนมีเรื่องครั้งใหม่ก็ตื่นเต้นกันไปอีกพักแล้วก็เงียบหายไปเช่นเดิม
การเลี้ยงสุนัขเจ้าของบางท่านไม่ได้ศึกษานิสัยและสายพันธุ์ของสุนัขให้ดี เพียงพอ แต่เลี้ยงกันตามกระแสนิยมของตลาดในเวลานั้น ๆ มากกว่า อย่างเมื่อเร็วๆ นี้สุนัขพันธุ์ฟิลา ซึ่งเป็นสุนัขที่ผสมออกมาเพื่อเป็นสุนัขที่ใช้เฝ้าระวังสัตว์เลี้ยง เช่น แกะ วัว จึงมีจุดประสงค์เพื่อมุงทำร้ายคนที่เข้าใกล้สัตว์เลี้ยง เป็นพันธุ์ที่กำลังจะได้รับความนิยม ยังดีที่มีการป้องปรามกันเสียก่อนจึงยังไม่ได้ยินข่าวว่าสุนัขพันธุ์นี้ทำ ร้ายคน หรืออย่างสุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูลเทอร์เรีย ที่เป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้กัดกันโดยเฉพาะ ปกติสุนัขพันธุ์นี้เท่าที่หมอเคยสัมผัสมาเป็นสุนัขที่ไม่ทำอันตรายคน แต่จะทำอันตรายสุนัขพันธุ์อื่นๆ แต่ก็จะมีบางตัวที่ดุร้ายมากถ้าเจ้าของไม่สามารถควบคุมได้จะเป็นอันตรายมาก และเคยเป็นข่าวดังไปทั่วโลกว่ากัดคนตาย และในประเทศไทยก็ห้ามนำสุนัขพันธุ์นี้เข้ามาในประเทศหลังจากมีข่าว แต่ปัจจุบันก็ยังมีการเลี้ยงอยู่พอสมควร สุนัขพันธุ์ร๊อตไวเลอร์เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ดุและมีข่าวทำอันตรายคน บ่อยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าสุนัขสายพันธุ์นี้ทุกตัวจะดุร้ายเช่นนั้น และสุนัขสายพันธุ์อื่นๆ ก็เช่นกันไม่จำเป็นว่าจะต้องดุร้ายไปหมดทุกตัว
สุนัขบางสายพันธุ์ต้องเข้าใจว่าผสมพันธุ์มาเพื่อใช้งานในวัตถุประสงค์ อะไร การใช้งานบางอย่างจำเป็นต้องการสุนัขดุ เช่น ร๊อตไวเลอร์ ฟิลา โดเบอร์แมนพินเชอร์ บ๊อกเซอร์เยอรมันเชพเพอร์ด ฯลฯ บางพันธุ์ก็เลี้ยงเพื่อความสวยงาม เช่น ชิท์สุ พูเดิ้ล ปอมเมอราเนี่ยนชิวาวา ยอร์คชายเทอร์เรีย ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกตัวจะต้องมีนิสัยเหมือนกัน เพียงแต่ส่วนใหญ่จะมีนิสัยใกล้เคียงกันสาเหตุที่สุนัขดุส่วนใหญ่มักเกิด เนื่องจากการเลี้ยง เช่น ไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากๆ เพราะตลอดชีวิตของการเป็นสัตวแพทย์มากกว่า 20 ปี ไม่เคยเห็นสุนัขตัวไหนที่เล่นกับคนมากๆ แล้วดุร้าย การขังสุนัขไว้ตลอดเวลา หรือปล่อยเป็นบางเวลาเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนัขดุ เพราะไม่เคยได้พบปะกับผู้คน และสุนัขที่ถูกกักขังมักจะมีความระแวงต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยธรรมชาติแล้วสุนัขจะอยู่รวมกันเป็นฝูงและมักไม่ทำอันตรายพวกเดียวกัน การที่สุนัขมาอยู่ร่วมกับคนในธรรมชาติของสุนัขก็ถือว่าคนที่อยู่รอบข้างที่ เล่นด้วยก็คือสมาชิกของฝูงนั่นเอง การเล่นกับสุนัขก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนัขดุ เจ้าของบางท่านชอบยั่วสุนัขให้โกรธ เช่น การเขย่าหัวแรงๆล่อให้กัดสิ่งของต่างๆ ยั่วยุให้โกรธด้วยท่าทาง ใช้มือล่อให้สุนัขกัด ฯลฯ เป็นต้น
สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้สุนัขดุ เช่น ร้อนเกินไป อย่างเช่นสุนัขพันธุ์เชาเชา ที่ขุนฟูหนาเมื่อมาเลี้ยงที่เมืองไทยที่มีอากาศค่อนข้างร้อนตลอดปี พบว่าเป็นพันธุ์ที่ทำร้ายผู้เลี้ยงในอัตราที่สูงกว่าสุนัขพันธุ์อื่น มีความผิดปกติบางอย่างในตัวสุนัข เช่นมีปัญหาด้านการมอง ตัวอย่างเช่นมีขนแยงลูกตา (ขนตาน้ำ ) ตาเริ่มบอดเนื่องจากอายุหรืออุบัติเหตุทำให้กลัวและระแวงคนหรือสัตว์ที่เข้า ใกล้โรคบางอย่างก็เกี่ยวข้องกับอาการดุร้าย เช่น โรคลมชัก ( ดุร้ายเป็นบางเวลา ) เป็นต้น หรือบางตัวมีความต้องการเป็นจ่าฝูงสูง จึงพยายามข่มสัตว์หรือคนที่อยู่รอบข้างด้วยการกัดหรือทำร้ายคุณอาจจะต้องทำ ตัวเป็นเผด็จการผู้อารี คือตัดสินใจแทนสุนัข และอย่าให้สุนัขชนะคุณ ฟังดูเหมือนง่ายแต่ต้องใช้ความเด็ดขาดและเวลาพอสมควร
ทีนี้เรามาว่ากันถึงสุนัขที่ดุ ซึ่งแบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ สุนัขดุที่เจ้าของสามารถควบคุมได้ กับสุนัขดุที่เจ้าของไม่สามารถควบคุมได้ เจ้าของต้องไม่ประมาทว่าคุมสุนัขได้ ถึงแม้ท่านจะทำประตูสักกี่ชั้นก็ตาม ความประมาทก็เป็นเหตุให้สุนัขทำร้ายคนหรือสุนัขอื่นมีให้เห็นบ่อยๆและควรรู้ ว่าสุนัข ของท่านไม่ชอบอะไร เช่น ไม่ชอบเด็ก คนที่เต่งตัวไม่เรียบร้อย ฯลฯ ถ้ามีคนที่ สุนัขไม่ชอบมาอยู่ใกล้ๆ ก็ควรระมัดระวังให้มาก ถ้าพาไปเดินเล่นนอกบ้านควรใส่สายจูงให้แน่นหนาทุกครั้ง และมั่นใจว่าสุนัขจะไม่หลุดออกจากสายจูงไปทำอันตรายผู้อื่นได้ ไม่เปิดประตูรั้วบ้านไว้ขณะที่สุนัขวิ่งเล่นในบ้าน ถ้าจำเป็นต้องเปิดประตูรับแขกก็ควรเก็บสุนัขให้เรียบร้อยก่อน ค่อยเปิดประตูรั้ว การเลี้ยงสุนัขดุ เพื่อเฝ้าบ้านก็เป็นดาบสองคมเพราะวันหนึ่งอาจจะทำร้ายสมาชิกหรือแขกผู้มา เยือน อย่างเช่นเด็กคนหนึ่งไปเยี่ยมญาติกับผู้ปกครอง ถูกสุนัขของญาติกัดจนเดินไม่ได้ไปเกือบปีต้องนั่งรถเข็นอยู่หลายเดือน เด็กต้องเสียเวลาในการเรียน เจ้าของสุนัขก็รู้สึกเป็นความผิด ก็เสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหตุเกิดก็เพราะความประมาทที่ไม่เก็บสุนัขให้ดีก่อนทั้งที่รู้ว่าสุนัขดุ
ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งที่เราได้พบกันบ่อยครั้งคือการที่สุนัขที่เราเลี้ยง ไว้ทำร้ายคน หรือเด็กจนบาดเจ็บหรือถึงกับเสียชีวิต น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้เจ้าของที่เลี้ยงควรจะศึกษาอุปนิสัยและสายพันธุ์ของ สุนัข เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้อีกในอนาคต ทุกครั้งที่มีข่าวก็ดูเหมือนว่าจะมีการตื่นกลัวกันแล้วก็เงียบหายไป จนมีเรื่องครั้งใหม่ก็ตื่นเต้นกันไปอีกพักแล้วก็เงียบหายไปเช่นเดิม
การเลี้ยงสุนัขเจ้าของบางท่านไม่ได้ศึกษานิสัยและสายพันธุ์ของสุนัขให้ดี เพียงพอ แต่เลี้ยงกันตามกระแสนิยมของตลาดในเวลานั้น ๆ มากกว่า อย่างเมื่อเร็วๆ นี้สุนัขพันธุ์ฟิลา ซึ่งเป็นสุนัขที่ผสมออกมาเพื่อเป็นสุนัขที่ใช้เฝ้าระวังสัตว์เลี้ยง เช่น แกะ วัว จึงมีจุดประสงค์เพื่อมุงทำร้ายคนที่เข้าใกล้สัตว์เลี้ยง เป็นพันธุ์ที่กำลังจะได้รับความนิยม ยังดีที่มีการป้องปรามกันเสียก่อนจึงยังไม่ได้ยินข่าวว่าสุนัขพันธุ์นี้ทำ ร้ายคน หรืออย่างสุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูลเทอร์เรีย ที่เป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้กัดกันโดยเฉพาะ ปกติสุนัขพันธุ์นี้เท่าที่หมอเคยสัมผัสมาเป็นสุนัขที่ไม่ทำอันตรายคน แต่จะทำอันตรายสุนัขพันธุ์อื่นๆ แต่ก็จะมีบางตัวที่ดุร้ายมากถ้าเจ้าของไม่สามารถควบคุมได้จะเป็นอันตรายมาก และเคยเป็นข่าวดังไปทั่วโลกว่ากัดคนตาย และในประเทศไทยก็ห้ามนำสุนัขพันธุ์นี้เข้ามาในประเทศหลังจากมีข่าว แต่ปัจจุบันก็ยังมีการเลี้ยงอยู่พอสมควร สุนัขพันธุ์ร๊อตไวเลอร์เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ดุและมีข่าวทำอันตรายคน บ่อยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าสุนัขสายพันธุ์นี้ทุกตัวจะดุร้ายเช่นนั้น และสุนัขสายพันธุ์อื่นๆ ก็เช่นกันไม่จำเป็นว่าจะต้องดุร้ายไปหมดทุกตัว
สุนัขบางสายพันธุ์ต้องเข้าใจว่าผสมพันธุ์มาเพื่อใช้งานในวัตถุประสงค์ อะไร การใช้งานบางอย่างจำเป็นต้องการสุนัขดุ เช่น ร๊อตไวเลอร์ ฟิลา โดเบอร์แมนพินเชอร์ บ๊อกเซอร์เยอรมันเชพเพอร์ด ฯลฯ บางพันธุ์ก็เลี้ยงเพื่อความสวยงาม เช่น ชิท์สุ พูเดิ้ล ปอมเมอราเนี่ยนชิวาวา ยอร์คชายเทอร์เรีย ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกตัวจะต้องมีนิสัยเหมือนกัน เพียงแต่ส่วนใหญ่จะมีนิสัยใกล้เคียงกันสาเหตุที่สุนัขดุส่วนใหญ่มักเกิด เนื่องจากการเลี้ยง เช่น ไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากๆ เพราะตลอดชีวิตของการเป็นสัตวแพทย์มากกว่า 20 ปี ไม่เคยเห็นสุนัขตัวไหนที่เล่นกับคนมากๆ แล้วดุร้าย การขังสุนัขไว้ตลอดเวลา หรือปล่อยเป็นบางเวลาเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนัขดุ เพราะไม่เคยได้พบปะกับผู้คน และสุนัขที่ถูกกักขังมักจะมีความระแวงต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยธรรมชาติแล้วสุนัขจะอยู่รวมกันเป็นฝูงและมักไม่ทำอันตรายพวกเดียวกัน การที่สุนัขมาอยู่ร่วมกับคนในธรรมชาติของสุนัขก็ถือว่าคนที่อยู่รอบข้างที่ เล่นด้วยก็คือสมาชิกของฝูงนั่นเอง การเล่นกับสุนัขก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุนัขดุ เจ้าของบางท่านชอบยั่วสุนัขให้โกรธ เช่น การเขย่าหัวแรงๆล่อให้กัดสิ่งของต่างๆ ยั่วยุให้โกรธด้วยท่าทาง ใช้มือล่อให้สุนัขกัด ฯลฯ เป็นต้น
สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้สุนัขดุ เช่น ร้อนเกินไป อย่างเช่นสุนัขพันธุ์เชาเชา ที่ขุนฟูหนาเมื่อมาเลี้ยงที่เมืองไทยที่มีอากาศค่อนข้างร้อนตลอดปี พบว่าเป็นพันธุ์ที่ทำร้ายผู้เลี้ยงในอัตราที่สูงกว่าสุนัขพันธุ์อื่น มีความผิดปกติบางอย่างในตัวสุนัข เช่นมีปัญหาด้านการมอง ตัวอย่างเช่นมีขนแยงลูกตา (ขนตาน้ำ ) ตาเริ่มบอดเนื่องจากอายุหรืออุบัติเหตุทำให้กลัวและระแวงคนหรือสัตว์ที่เข้า ใกล้โรคบางอย่างก็เกี่ยวข้องกับอาการดุร้าย เช่น โรคลมชัก ( ดุร้ายเป็นบางเวลา ) เป็นต้น หรือบางตัวมีความต้องการเป็นจ่าฝูงสูง จึงพยายามข่มสัตว์หรือคนที่อยู่รอบข้างด้วยการกัดหรือทำร้ายคุณอาจจะต้องทำ ตัวเป็นเผด็จการผู้อารี คือตัดสินใจแทนสุนัข และอย่าให้สุนัขชนะคุณ ฟังดูเหมือนง่ายแต่ต้องใช้ความเด็ดขาดและเวลาพอสมควร
ทีนี้เรามาว่ากันถึงสุนัขที่ดุ ซึ่งแบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ สุนัขดุที่เจ้าของสามารถควบคุมได้ กับสุนัขดุที่เจ้าของไม่สามารถควบคุมได้ เจ้าของต้องไม่ประมาทว่าคุมสุนัขได้ ถึงแม้ท่านจะทำประตูสักกี่ชั้นก็ตาม ความประมาทก็เป็นเหตุให้สุนัขทำร้ายคนหรือสุนัขอื่นมีให้เห็นบ่อยๆและควรรู้ ว่าสุนัข ของท่านไม่ชอบอะไร เช่น ไม่ชอบเด็ก คนที่เต่งตัวไม่เรียบร้อย ฯลฯ ถ้ามีคนที่ สุนัขไม่ชอบมาอยู่ใกล้ๆ ก็ควรระมัดระวังให้มาก ถ้าพาไปเดินเล่นนอกบ้านควรใส่สายจูงให้แน่นหนาทุกครั้ง และมั่นใจว่าสุนัขจะไม่หลุดออกจากสายจูงไปทำอันตรายผู้อื่นได้ ไม่เปิดประตูรั้วบ้านไว้ขณะที่สุนัขวิ่งเล่นในบ้าน ถ้าจำเป็นต้องเปิดประตูรับแขกก็ควรเก็บสุนัขให้เรียบร้อยก่อน ค่อยเปิดประตูรั้ว การเลี้ยงสุนัขดุ เพื่อเฝ้าบ้านก็เป็นดาบสองคมเพราะวันหนึ่งอาจจะทำร้ายสมาชิกหรือแขกผู้มา เยือน อย่างเช่นเด็กคนหนึ่งไปเยี่ยมญาติกับผู้ปกครอง ถูกสุนัขของญาติกัดจนเดินไม่ได้ไปเกือบปีต้องนั่งรถเข็นอยู่หลายเดือน เด็กต้องเสียเวลาในการเรียน เจ้าของสุนัขก็รู้สึกเป็นความผิด ก็เสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหตุเกิดก็เพราะความประมาทที่ไม่เก็บสุนัขให้ดีก่อนทั้งที่รู้ว่าสุนัขดุ
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
อายุ สุนัข กับอายุคน ต่างกันแค่ไหน?
อายุ สุนัข กับอายุคน ต่างกันแค่ไหน?
อายุสุนัขกับเรา (THE BOY)
สุนัข และ สัตว์เลี้ยง อื่นๆ เจริญเติบโตเร็วกว่าคนมาก เห็นได้จากเมื่อ สุนัข คลอดออกมาไม่นานก็สามารถเดินได้แล้ว ในขณะที่คนต้องใช้เวลานานมากกว่าจึงจะเดินได้ ถ้าอย่างนั้นใน 1 ปีแรกของสุนัขเท่ากับกี่ปีของคน และเท่ากันทุกปีหรือไม่ คำตอบคือ สุนัขเจริญเติบโตแตกต่างกันในแต่ละปี
ในปีแรกร่างกาย สุนัข จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเท่ากับ 15 ปีของคนเลยทีเดียว โชว์ทรวดทรงอ้อนแอ้น เข้าสู่วัยรุ่น กำลังน่ารักน่าชัง เมื่อเริ่มเข้าปีที่ 2 เท่ากับ 24 ปี อยู่ในช่วงวัยเบญจเพส วัยคะนองก็ว่าได้
พอ สุนัข เข้าปีที่ 3,4 อายุจะเพิ่มอีกครั้งละ 4 ปี ช่วงนี้จะมากด้วยประสบการณ์ เมื่อเริ่มปีที่ 5 ขึ้นไป บวกเพิ่มอีก 5 ปีทุกครั้ง จะเห็นได้ว่าช่วงอายุคนกับ สุนัข จะห่างกันมาก ใช้เวลาเลี้ยงแค่ 5-6 ปี สุนัข ของเราก็จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ทำอะไรก็คล่องแคล่ว ว่องไว แต่เมื่อเจริญเติบโตเร็วมากเท่าไหร่ ความชราจะมาเยือนอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ดังนั้น สุนัข ที่อายุ 10 ปีขึ้นไป เริ่มทำอะไรเชื่องช้า เนื่องจากร่างกายจะอ่อนแอลง ทำให้ติดเชื้อโรคง่ายตามไปด้วย เพราะ สุนัข เริ่มเข้าสู่วัยชรา เราจึงต้องเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูมากขึ้น เจ้า สุนัข ตัวโปรดของคุณจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ
อายุสุนัขกับเรา (THE BOY)
สุนัข และ สัตว์เลี้ยง อื่นๆ เจริญเติบโตเร็วกว่าคนมาก เห็นได้จากเมื่อ สุนัข คลอดออกมาไม่นานก็สามารถเดินได้แล้ว ในขณะที่คนต้องใช้เวลานานมากกว่าจึงจะเดินได้ ถ้าอย่างนั้นใน 1 ปีแรกของสุนัขเท่ากับกี่ปีของคน และเท่ากันทุกปีหรือไม่ คำตอบคือ สุนัขเจริญเติบโตแตกต่างกันในแต่ละปี
ในปีแรกร่างกาย สุนัข จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเท่ากับ 15 ปีของคนเลยทีเดียว โชว์ทรวดทรงอ้อนแอ้น เข้าสู่วัยรุ่น กำลังน่ารักน่าชัง เมื่อเริ่มเข้าปีที่ 2 เท่ากับ 24 ปี อยู่ในช่วงวัยเบญจเพส วัยคะนองก็ว่าได้
พอ สุนัข เข้าปีที่ 3,4 อายุจะเพิ่มอีกครั้งละ 4 ปี ช่วงนี้จะมากด้วยประสบการณ์ เมื่อเริ่มปีที่ 5 ขึ้นไป บวกเพิ่มอีก 5 ปีทุกครั้ง จะเห็นได้ว่าช่วงอายุคนกับ สุนัข จะห่างกันมาก ใช้เวลาเลี้ยงแค่ 5-6 ปี สุนัข ของเราก็จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ทำอะไรก็คล่องแคล่ว ว่องไว แต่เมื่อเจริญเติบโตเร็วมากเท่าไหร่ ความชราจะมาเยือนอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ดังนั้น สุนัข ที่อายุ 10 ปีขึ้นไป เริ่มทำอะไรเชื่องช้า เนื่องจากร่างกายจะอ่อนแอลง ทำให้ติดเชื้อโรคง่ายตามไปด้วย เพราะ สุนัข เริ่มเข้าสู่วัยชรา เราจึงต้องเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูมากขึ้น เจ้า สุนัข ตัวโปรดของคุณจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ
เทคนิคเลี้ยงน้องหมา และวิธีมัดใจให้อยู่หมัด
โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
เทคนิคเลี้ยงน้องหมา และวิธีมัดใจให้อยู่หมัด (ข่าวโลกสัตว์เลี้ยง)
คงจะไม่มีใครปฏิเสธว่าสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับมนุษย์ ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ก็คือสุนัข ที่พัฒนาจากบรรพบุรุษหมาป่าสู่สุนัขบ้าน เรียกได้ว่าเป็นคู่หูกับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สุนัขก็ยังคงมีสัญญาตญาณดั้งเดิมที่แสดงออกผ่านสายพันธุ์จะมีความต้องการที่ แตกต่างกันไป การเลี้ยงสุนัขให้เป็นเพื่อน หรือให้ได้ใจเขามาครอบครอง จึงไม่ใช่แค่การให้อาหาร และพาเขาไปเดินเล่น แต่หากต้องการมิตรภาพจากเพื่อนผู้แสนซื่อสัตย์ล่ะก็ เราจะต้องดูแลเขาอย่างไรบ้าง วันนี้ขอยกตัวอย่างนิสัยและสิ่งที่สุนัขสายพันธุ์ยอดฮิตของเมืองไทยโปรดปราน
สายพันธุ์แรกที่เราจะพูดถึงในวันนี้ คือ โกลเด้น ซึ่งเป็นสายพันธุ์ยอดฮิตและขึ้นชื่อเรื่องความสุภาพและอ่อนโยน โกลเด้น เจ้าโกลเด้นเป็นสุนัขขนาดกลาง จัดอยู่ในกลุ่ม Sporting ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พัฒนาเพื่อการล่าสัตว์ในบริเวณหนองน้ำ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง กระปรี้กระเปร่า ฉลาด แต่ไม่เจ้าเล่ห์ โดยสัญชาตญาณแล้ว โกลเด้นท์จะชอลเก็บสิ่งของมาให้ และโปรดปรานการว่ายน้ำเป็นที่สุด เขาจะแกล้งคุณต่าง ๆ นานา เพื่อให้คุณสนใจแต่เขา นอกจากนี้ เขายังเป็นสุนัขรักการผจญภัยที่ขี้สงสัยเอามาก ๆ ซะด้วยสิ
ถ้าคุณอยากจะได้ใจเจ้าโกลเด้นของคุณล่ะก็ คุณต้องมอบความรักและการเอาใจใส่ต่อเขาให้มาก ๆ ที่สำคัญคุณควรมีพื้นที่บริเวณรอบ ๆ บ้านไว้ให้เค้าได้วิ่งเล่นไปพร้อม ๆ กับคุณ และแน่นอนว่าถ้าเค้าได้เล่นกับคุณในครั้งแรกแล้ว เค้าก็จะเฝ้ารอให้คุณไปเล่นด้วยอีกแน่นอน
อ้อ รู้ไว้นะ เจ้าโกลเด้นแสนน่ารักของคุณจะปลื้อมสุด ๆ ถ้าคณเกาคาง ลูบหลัง หรือลูบไหล่ให้
ส่วนการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การฉีดวัคซีน การถ่ายพยาธิ รวมไปถึงการทำความสะอาดใบหู กำจัดเห็บหมัด ตัอเล็บอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้ถึงจะเป็นเรื่องอื้น ๆ แต่อย่าละเลยเชียวนะ เพราะหากคุณดูแลสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี รับรองว่า เจ้าโกลเด้นของคุณจะต้องรัก และบูชาคุณเลยแหละ
ส่วนสายพันธุ์ที่ฮอตฮิตและน่ารักไม่แพ้โกลเด้นก็คือ ปั๊ก เจ้าตัวเล็ก หน้าสั้น ตาโปน ที่ใครเห็นก็อดชื่นชมในความน่ารักน่าเอ็นดูของมันไม่ได้ ปั๊ก จัดอยู่ในกลุ่มสุนัข pet toy ฉลาด น่ารัก อ่อนโยน ดูเรียบร้อย จริงใจ ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เป็นกิจวัตร และรักที่จะมีกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ทั้งนี้ เจ้าปั๊กจะผลัดขนบ่อย อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ แต่ปั๊กเป็นสุนัขตัวเล็กที่ฉลาด ฝึกง่าย และไม่ขี้งอน
ถ้าคุณอยากจะได้ใจเจ้าตัวเล็กอย่างปั๊กนั้น คุณจะต้องรู้ว่าเจ้าตัวเล็กของคุณไม่ชอบที่จะอยู่คนเดียว กิจกรรมหลักของเขาก็คือการสนใจ สนใจ และสนใจแต่คุณเท่านั้น ปั๊กจะไม่ชอบวิ่งเล่นอะไรมากมาย เพราะหน้าสั้น ๆ จมูกบี้ ๆ ของเขาทำให้เขาหายใจไม่ทัน แต่เจ้าปั๊กของคุณต้องการแค่เพื่อนเล่นซะมากกว่า
ด้วยความที่ปั๊กเป็นสุนัขขนสั้น จึงไม่ต้องดูแลอะไรมากมาย แต่อย่าได้แปลกใจไปนะ ถ้าเจ้าปั๊กจะเรียกร้องความสนใจจากคุณตลอดเวลา ที่สำคัญปั๊กกินได้ทั้งวัน ถ้าคุมไม่อยู่ล่ะก็ คุณอาจคิดว่ากำลังเลี้ยงหมูน้อยอยู่ก็เป็นได้ นอกจากนี้ ปั๊ก ยังเป็นสุนัขที่ต้องการเวลาจากเจ้าของเอามาก ๆ ถ้าคุณต้องทำงานนอกบ้านตลอดเวลา ก็คงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ เพราะเจ้าปั๊กจะกลายเป็นสุนัขที่หงอยเหงา ซึมเศร้า และไม่มีความสุข
อีกหนึ่งสายพันธุ์สุนัขที่หลาย ๆ คนอยากเลี้ยง คือ ไซบีเรียน ฮัสกี้ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม Working dog แม้หน้าตาจะดูดุ แต่เจ้าไซบีเรียน ฮัสกี้ ก็จัดเป็นสุนัขน่ารักและสง่างาม แม้จะมีต้นกำเนิดจากสายพันธุ์หมาป่า แต่ไซบีเรียน ฮัสกี้ กลับสุภาพ อ่อนโยน ไว้ใจได้ และขี้อ้อน เหมาะกับเด็ก ๆ แม้บางทีเขาจะดื้อไปบ้าง แต่เขาก็มีความมุ่งมั่นเอามาก ๆ ทั้งยังรักและเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของเอามาก ๆ เช่นกัน
สิ่งที่คุณควรทราบก็คือ ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสุนัขที่มีเมตาบอลิซึ่มต่ำ เขาจึงต้องการการออกกำลังกายมาก ๆ เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร ดังนั้น คุณก็ควรต้องมีพื้นที่ให้เขาวิ่งและออกกำลังกายมากพอสมควร
ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสุนัขที่เชื่อฟังเจ้านอายเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นคุณจะต้องทำให้เขารู้ว่าใครเป็นเจ้านาย ซึ่งนอกจากความเด็ดขาดแล้ว คุณยังต้องให้มิตรภาพแก่เขาอีกด้วย และที่แน่ ๆ เจ้าไซบีเรียน ฮัสกี้ของคุณจัดเป็นนักหนีเที่ยวตัวยง ดังนั้นคุณต้องระวังรั้วรอบ้านให้ดี ๆ ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพและอาหารนั้นสบายมาก เพราะ ไซบีเรียน ฮัสกี้ ไม่ต้องการการดูแลมากมายนัก เพียงเท่านี้ เจ้าสุนัขมาดเท่ของคุณก็จะเชื่อฟังจนยอมมอบกายถวายชีวิตเลยแหละ
ยอร์คกี้ - ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
ส่วนเจ้าตัวเล็กแสนน่ารัก ที่ถูกอกถูกใจทั้งสาวเล็กและสาวใหญ่ ต่างพากันหามาเลี้ยงเป็นเพื่อนแสนรู้คู่ใจ แน่นอนเรากำลังพูดถึง เจ้า ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย สุนัขตัวเล็ก ขนยาวสลวย แม้ว่าเดิมทีเจ้าสุนัขในกลุ่ม Pet Toy ตัวนี้จุถูกปรับปรุงสายพันธุ์มาเพื่อกำจัดหนู แต่ด้วยความน่ารักที่โดนตาโดนใจ เจ้ายอร์คกี้จึงได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรักสุนัขพันธุ์เล็ก ด้วยสัญชาตญาณนักล่าที่ทั้งหูดี และกล้าหาญ เจ้ายอร์คกี้จึงเป็นสุนัขที่สามารถใช้เฝ้าระวังได้ หรือเฝ้าบ้านได้นั่นเอง
และคุณรู้ไว้นะว่า ยอร์คกี้ ไม่ใช่สุนัขที่เห่าพร่ำเพรื่อ ดังนั้น เมื่อเขาห่า มันจะต้องมีอะไรแน่ ๆ นอกจากเรื่องนิสัยที่ออกจะกล้าหาญเกินตัวแล้ว ยอ์คกี้ก็ยังมีนิสัยเย่อหยิ่งเล็ก ๆ อีกด้วยสิ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะฝึก สอนไม่ได้นะ
อย่างไรก็ตาม ยอร์คกี้ก็เป็นสุนัขที่รักและต้องการอยู่กับเจ้าของมากไม่แพ้พันธุ์อื่น ๆ และบางตัวก็ชอบนอนกับเจ้าของซะด้วยสิ นอกจากนี้ยังชอบไล่สัตว์ตัวเล็ก ๆ บางครั้งก็ทุ่มสุดตัวเกินเหตุ จึงต้องระวังจะเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะทำให้เขาเจ็บตัวได้ง่าย ๆ และด้วยความกล้าเกินตัว บางทีเขาก็หาเรื่องกับสุนัขใหญ่กว่าบ่อย ๆ
ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดูแลให้ดี ก็คือ เรื่องของขน เนื่องจากยอร์คกี้เป็นสุนัขที่มีขนยาว คุณจึงควรต้องหมั่นดูแลแปรงขนให้เขาทุกวัน เพื่อความนุ่มสลวยน่ารั น่ากอด
แล้วก็มาถึง สายพันธุ์สุดท้ายสำหรับวันนี้ กับสุนัขที่ใคร ๆ ก็พากันหลงรักตาโต ๆ ขนยาว ๆ นั่นคือ เจ้าชิสุ นั่นเอง ชิสุ เป็นสุนัขในกลุ่ม Pet Toy ยอดฮิตอีกหนึ่งตัว เขามีจุดเด่นอยู่ที่ความมีชีวิตชีวาเบิกบาน และแข็งแรงกล้าหาญ บางครั้งก็หยิ่งยโสเสียด้วยสิ เขาทำทุกสิ่งด้วยความซื้อสัตย์ ใจดี เป็นมิตรง่าย แต่จะโกรธมากถ้ามีใครทำให้ตื่นตกใจ ชิสุ เป็นสุนัขที่ว่องไวมาก ชอบเห่า แต่ถ้าให้อยู่บ้านตัวเดียวก็จะเงียบ
คุณสามารถเลี้ยงชิสุได้แม้จะมีพื้นที่จำกัด เพราะเขาไม่ต้องการพื้นที่ในการออกกำลังมาก แต่สิ่งที่ควรรระวังก็คือเจ้าชิสุจไวต่ออากาศที่ร้อน เขาจะชอบไปนอนในที่ที่เขาชอบเสมอ ดังนั้น คุณจึงควรหมั่นกระตุ้นให้เขาออกกำลังบ่อย ๆ นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญในการเลี้ยงชิสุก็คือ การทำความสะอาดขน เขาต้องการการดูแลขจเป็นพิเศษอย่างดีทุกวัน มัดจุกเพื่อที่ขนจะได้ไม่ทิ่มตา และควรหยอดตาให้เขาบ่อย ๆ ด้วย เท่านี้คุณก็จะได้รับความรักและความซื้อสัตย์จากเจ้าชิสุ เรียกได้ว่าได้ใจน้องหมาไปเต็ม ๆ นั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงพันธุ์ไหน ๆ เขาก็ต้องการความรักความอบอุ่นจากเจ้านายและเจ้าของ เมื่อเขาได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เลี้ยงแล้ว เขาก็พร้อมที่จะมอบทั้งความรักและความซื้อสัตยให้ เปรียบเมหือน "เพื่อนแท้" ที่มอบกายถวายชีวิตให้ได้
รวมเรื่องสัตว์เลี้ยง ทั้ง สุนัข แมว ปลา ฯลฯ พร้อมวิธีดูแลสัตว์เลี้ยง คลิกเลย
คลิ กอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เทคนิคเลี้ยงน้องหมา และวิธีมัดใจให้อยู่หมัด (ข่าวโลกสัตว์เลี้ยง)
คงจะไม่มีใครปฏิเสธว่าสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับมนุษย์ ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ก็คือสุนัข ที่พัฒนาจากบรรพบุรุษหมาป่าสู่สุนัขบ้าน เรียกได้ว่าเป็นคู่หูกับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สุนัขก็ยังคงมีสัญญาตญาณดั้งเดิมที่แสดงออกผ่านสายพันธุ์จะมีความต้องการที่ แตกต่างกันไป การเลี้ยงสุนัขให้เป็นเพื่อน หรือให้ได้ใจเขามาครอบครอง จึงไม่ใช่แค่การให้อาหาร และพาเขาไปเดินเล่น แต่หากต้องการมิตรภาพจากเพื่อนผู้แสนซื่อสัตย์ล่ะก็ เราจะต้องดูแลเขาอย่างไรบ้าง วันนี้ขอยกตัวอย่างนิสัยและสิ่งที่สุนัขสายพันธุ์ยอดฮิตของเมืองไทยโปรดปราน
สายพันธุ์แรกที่เราจะพูดถึงในวันนี้ คือ โกลเด้น ซึ่งเป็นสายพันธุ์ยอดฮิตและขึ้นชื่อเรื่องความสุภาพและอ่อนโยน โกลเด้น เจ้าโกลเด้นเป็นสุนัขขนาดกลาง จัดอยู่ในกลุ่ม Sporting ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พัฒนาเพื่อการล่าสัตว์ในบริเวณหนองน้ำ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง กระปรี้กระเปร่า ฉลาด แต่ไม่เจ้าเล่ห์ โดยสัญชาตญาณแล้ว โกลเด้นท์จะชอลเก็บสิ่งของมาให้ และโปรดปรานการว่ายน้ำเป็นที่สุด เขาจะแกล้งคุณต่าง ๆ นานา เพื่อให้คุณสนใจแต่เขา นอกจากนี้ เขายังเป็นสุนัขรักการผจญภัยที่ขี้สงสัยเอามาก ๆ ซะด้วยสิ
ถ้าคุณอยากจะได้ใจเจ้าโกลเด้นของคุณล่ะก็ คุณต้องมอบความรักและการเอาใจใส่ต่อเขาให้มาก ๆ ที่สำคัญคุณควรมีพื้นที่บริเวณรอบ ๆ บ้านไว้ให้เค้าได้วิ่งเล่นไปพร้อม ๆ กับคุณ และแน่นอนว่าถ้าเค้าได้เล่นกับคุณในครั้งแรกแล้ว เค้าก็จะเฝ้ารอให้คุณไปเล่นด้วยอีกแน่นอน
อ้อ รู้ไว้นะ เจ้าโกลเด้นแสนน่ารักของคุณจะปลื้อมสุด ๆ ถ้าคณเกาคาง ลูบหลัง หรือลูบไหล่ให้
ส่วนการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การฉีดวัคซีน การถ่ายพยาธิ รวมไปถึงการทำความสะอาดใบหู กำจัดเห็บหมัด ตัอเล็บอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้ถึงจะเป็นเรื่องอื้น ๆ แต่อย่าละเลยเชียวนะ เพราะหากคุณดูแลสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี รับรองว่า เจ้าโกลเด้นของคุณจะต้องรัก และบูชาคุณเลยแหละ
ส่วนสายพันธุ์ที่ฮอตฮิตและน่ารักไม่แพ้โกลเด้นก็คือ ปั๊ก เจ้าตัวเล็ก หน้าสั้น ตาโปน ที่ใครเห็นก็อดชื่นชมในความน่ารักน่าเอ็นดูของมันไม่ได้ ปั๊ก จัดอยู่ในกลุ่มสุนัข pet toy ฉลาด น่ารัก อ่อนโยน ดูเรียบร้อย จริงใจ ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เป็นกิจวัตร และรักที่จะมีกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ทั้งนี้ เจ้าปั๊กจะผลัดขนบ่อย อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ แต่ปั๊กเป็นสุนัขตัวเล็กที่ฉลาด ฝึกง่าย และไม่ขี้งอน
ถ้าคุณอยากจะได้ใจเจ้าตัวเล็กอย่างปั๊กนั้น คุณจะต้องรู้ว่าเจ้าตัวเล็กของคุณไม่ชอบที่จะอยู่คนเดียว กิจกรรมหลักของเขาก็คือการสนใจ สนใจ และสนใจแต่คุณเท่านั้น ปั๊กจะไม่ชอบวิ่งเล่นอะไรมากมาย เพราะหน้าสั้น ๆ จมูกบี้ ๆ ของเขาทำให้เขาหายใจไม่ทัน แต่เจ้าปั๊กของคุณต้องการแค่เพื่อนเล่นซะมากกว่า
ด้วยความที่ปั๊กเป็นสุนัขขนสั้น จึงไม่ต้องดูแลอะไรมากมาย แต่อย่าได้แปลกใจไปนะ ถ้าเจ้าปั๊กจะเรียกร้องความสนใจจากคุณตลอดเวลา ที่สำคัญปั๊กกินได้ทั้งวัน ถ้าคุมไม่อยู่ล่ะก็ คุณอาจคิดว่ากำลังเลี้ยงหมูน้อยอยู่ก็เป็นได้ นอกจากนี้ ปั๊ก ยังเป็นสุนัขที่ต้องการเวลาจากเจ้าของเอามาก ๆ ถ้าคุณต้องทำงานนอกบ้านตลอดเวลา ก็คงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ เพราะเจ้าปั๊กจะกลายเป็นสุนัขที่หงอยเหงา ซึมเศร้า และไม่มีความสุข
อีกหนึ่งสายพันธุ์สุนัขที่หลาย ๆ คนอยากเลี้ยง คือ ไซบีเรียน ฮัสกี้ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม Working dog แม้หน้าตาจะดูดุ แต่เจ้าไซบีเรียน ฮัสกี้ ก็จัดเป็นสุนัขน่ารักและสง่างาม แม้จะมีต้นกำเนิดจากสายพันธุ์หมาป่า แต่ไซบีเรียน ฮัสกี้ กลับสุภาพ อ่อนโยน ไว้ใจได้ และขี้อ้อน เหมาะกับเด็ก ๆ แม้บางทีเขาจะดื้อไปบ้าง แต่เขาก็มีความมุ่งมั่นเอามาก ๆ ทั้งยังรักและเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของเอามาก ๆ เช่นกัน
สิ่งที่คุณควรทราบก็คือ ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสุนัขที่มีเมตาบอลิซึ่มต่ำ เขาจึงต้องการการออกกำลังกายมาก ๆ เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร ดังนั้น คุณก็ควรต้องมีพื้นที่ให้เขาวิ่งและออกกำลังกายมากพอสมควร
ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสุนัขที่เชื่อฟังเจ้านอายเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นคุณจะต้องทำให้เขารู้ว่าใครเป็นเจ้านาย ซึ่งนอกจากความเด็ดขาดแล้ว คุณยังต้องให้มิตรภาพแก่เขาอีกด้วย และที่แน่ ๆ เจ้าไซบีเรียน ฮัสกี้ของคุณจัดเป็นนักหนีเที่ยวตัวยง ดังนั้นคุณต้องระวังรั้วรอบ้านให้ดี ๆ ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพและอาหารนั้นสบายมาก เพราะ ไซบีเรียน ฮัสกี้ ไม่ต้องการการดูแลมากมายนัก เพียงเท่านี้ เจ้าสุนัขมาดเท่ของคุณก็จะเชื่อฟังจนยอมมอบกายถวายชีวิตเลยแหละ
ยอร์คกี้ - ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
ส่วนเจ้าตัวเล็กแสนน่ารัก ที่ถูกอกถูกใจทั้งสาวเล็กและสาวใหญ่ ต่างพากันหามาเลี้ยงเป็นเพื่อนแสนรู้คู่ใจ แน่นอนเรากำลังพูดถึง เจ้า ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย สุนัขตัวเล็ก ขนยาวสลวย แม้ว่าเดิมทีเจ้าสุนัขในกลุ่ม Pet Toy ตัวนี้จุถูกปรับปรุงสายพันธุ์มาเพื่อกำจัดหนู แต่ด้วยความน่ารักที่โดนตาโดนใจ เจ้ายอร์คกี้จึงได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรักสุนัขพันธุ์เล็ก ด้วยสัญชาตญาณนักล่าที่ทั้งหูดี และกล้าหาญ เจ้ายอร์คกี้จึงเป็นสุนัขที่สามารถใช้เฝ้าระวังได้ หรือเฝ้าบ้านได้นั่นเอง
และคุณรู้ไว้นะว่า ยอร์คกี้ ไม่ใช่สุนัขที่เห่าพร่ำเพรื่อ ดังนั้น เมื่อเขาห่า มันจะต้องมีอะไรแน่ ๆ นอกจากเรื่องนิสัยที่ออกจะกล้าหาญเกินตัวแล้ว ยอ์คกี้ก็ยังมีนิสัยเย่อหยิ่งเล็ก ๆ อีกด้วยสิ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะฝึก สอนไม่ได้นะ
อย่างไรก็ตาม ยอร์คกี้ก็เป็นสุนัขที่รักและต้องการอยู่กับเจ้าของมากไม่แพ้พันธุ์อื่น ๆ และบางตัวก็ชอบนอนกับเจ้าของซะด้วยสิ นอกจากนี้ยังชอบไล่สัตว์ตัวเล็ก ๆ บางครั้งก็ทุ่มสุดตัวเกินเหตุ จึงต้องระวังจะเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะทำให้เขาเจ็บตัวได้ง่าย ๆ และด้วยความกล้าเกินตัว บางทีเขาก็หาเรื่องกับสุนัขใหญ่กว่าบ่อย ๆ
ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดูแลให้ดี ก็คือ เรื่องของขน เนื่องจากยอร์คกี้เป็นสุนัขที่มีขนยาว คุณจึงควรต้องหมั่นดูแลแปรงขนให้เขาทุกวัน เพื่อความนุ่มสลวยน่ารั น่ากอด
แล้วก็มาถึง สายพันธุ์สุดท้ายสำหรับวันนี้ กับสุนัขที่ใคร ๆ ก็พากันหลงรักตาโต ๆ ขนยาว ๆ นั่นคือ เจ้าชิสุ นั่นเอง ชิสุ เป็นสุนัขในกลุ่ม Pet Toy ยอดฮิตอีกหนึ่งตัว เขามีจุดเด่นอยู่ที่ความมีชีวิตชีวาเบิกบาน และแข็งแรงกล้าหาญ บางครั้งก็หยิ่งยโสเสียด้วยสิ เขาทำทุกสิ่งด้วยความซื้อสัตย์ ใจดี เป็นมิตรง่าย แต่จะโกรธมากถ้ามีใครทำให้ตื่นตกใจ ชิสุ เป็นสุนัขที่ว่องไวมาก ชอบเห่า แต่ถ้าให้อยู่บ้านตัวเดียวก็จะเงียบ
คุณสามารถเลี้ยงชิสุได้แม้จะมีพื้นที่จำกัด เพราะเขาไม่ต้องการพื้นที่ในการออกกำลังมาก แต่สิ่งที่ควรรระวังก็คือเจ้าชิสุจไวต่ออากาศที่ร้อน เขาจะชอบไปนอนในที่ที่เขาชอบเสมอ ดังนั้น คุณจึงควรหมั่นกระตุ้นให้เขาออกกำลังบ่อย ๆ นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญในการเลี้ยงชิสุก็คือ การทำความสะอาดขน เขาต้องการการดูแลขจเป็นพิเศษอย่างดีทุกวัน มัดจุกเพื่อที่ขนจะได้ไม่ทิ่มตา และควรหยอดตาให้เขาบ่อย ๆ ด้วย เท่านี้คุณก็จะได้รับความรักและความซื้อสัตย์จากเจ้าชิสุ เรียกได้ว่าได้ใจน้องหมาไปเต็ม ๆ นั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงพันธุ์ไหน ๆ เขาก็ต้องการความรักความอบอุ่นจากเจ้านายและเจ้าของ เมื่อเขาได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เลี้ยงแล้ว เขาก็พร้อมที่จะมอบทั้งความรักและความซื้อสัตยให้ เปรียบเมหือน "เพื่อนแท้" ที่มอบกายถวายชีวิตให้ได้
รวมเรื่องสัตว์เลี้ยง ทั้ง สุนัข แมว ปลา ฯลฯ พร้อมวิธีดูแลสัตว์เลี้ยง คลิกเลย
คลิ กอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ตำนาน โบราณ...ว่าด้วยเรื่อง น้องหมา
ตำนานโบราณ...ว่าด้วยเรื่อง น้องหมา
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
จากหลายตำรากล่าวว่า การเลี้ยงสุนัขเป็นสิ่งมิ่งมงคล เป็นความฝันอันสูงสุดของการอวดเบ่งบารมีแต่โบราณ แต่ตำนานโบราณจะมีอะไรบ้าง เรามาติดตามกันดีกว่าค่ะ
1. การเลี้ยงสุนัขสีดำหูขาว ถือว่าส่งเสริมให้เกิดสริริมงคล ช่วงดลบันดาล ให้คนเลี้ยงร่ำรวย และได้เป็นขุนนาง, เลี้ยงสุนัขสีเหลืองมีขาคู่หน้าสีขาวจะทำให้ได้รับโชคลาภ, เลี้ยงสุนัขสีขาวมีหางสีดำจะทำให้เจริญก้าวหน้า
2. ถ้าเราเดินตามถนนแล้วพบสุนัข แปลกหน้าเดินตามเรา และมาขออาศัยอยู่ที่บ้านด้วย เป็นนิมิตหมายว่าหัวหน้าครอบครัวของเราจะกลายเป็นคนมั่งคั่ง ร่ำรวย
3. สุนัขที่เห่าเก่ง ๆ และชอบไล่กัดผู้คน แต่ถ้ามาเจอคนปีขาล สุนัขตัวนั้นจะเกรงอำนาจ และยอมสงบนิ่ง ด้วยความเกรงกลัว
4. การแบ่งอาหารและน้ำให้แก่ สุนัขจรจัดที่หิวโหย หรือมีเมตตาให้เข้ามาหลบฝนในชายคาบ้าน ถือว่าเป็นการทำบุญทำทานที่ให้อานิสงส์ผลบุญแก่ตัวเรามหาศาล
5. คนเกิดปีจอ ต้องเลี้ยงดูสุนัขในบ้านอย่างดี เพราะจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญยิ่งใหญ่ในชีวิต ด้วยสุนัขเป็นสัตว์นักษัตรประจำปีเกิด
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
จากหลายตำรากล่าวว่า การเลี้ยงสุนัขเป็นสิ่งมิ่งมงคล เป็นความฝันอันสูงสุดของการอวดเบ่งบารมีแต่โบราณ แต่ตำนานโบราณจะมีอะไรบ้าง เรามาติดตามกันดีกว่าค่ะ
1. การเลี้ยงสุนัขสีดำหูขาว ถือว่าส่งเสริมให้เกิดสริริมงคล ช่วงดลบันดาล ให้คนเลี้ยงร่ำรวย และได้เป็นขุนนาง, เลี้ยงสุนัขสีเหลืองมีขาคู่หน้าสีขาวจะทำให้ได้รับโชคลาภ, เลี้ยงสุนัขสีขาวมีหางสีดำจะทำให้เจริญก้าวหน้า
2. ถ้าเราเดินตามถนนแล้วพบสุนัข แปลกหน้าเดินตามเรา และมาขออาศัยอยู่ที่บ้านด้วย เป็นนิมิตหมายว่าหัวหน้าครอบครัวของเราจะกลายเป็นคนมั่งคั่ง ร่ำรวย
3. สุนัขที่เห่าเก่ง ๆ และชอบไล่กัดผู้คน แต่ถ้ามาเจอคนปีขาล สุนัขตัวนั้นจะเกรงอำนาจ และยอมสงบนิ่ง ด้วยความเกรงกลัว
4. การแบ่งอาหารและน้ำให้แก่ สุนัขจรจัดที่หิวโหย หรือมีเมตตาให้เข้ามาหลบฝนในชายคาบ้าน ถือว่าเป็นการทำบุญทำทานที่ให้อานิสงส์ผลบุญแก่ตัวเรามหาศาล
5. คนเกิดปีจอ ต้องเลี้ยงดูสุนัขในบ้านอย่างดี เพราะจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญยิ่งใหญ่ในชีวิต ด้วยสุนัขเป็นสัตว์นักษัตรประจำปีเกิด
สุนัข สู้ชีวิต มนุษย์อย่างเรา อย่ายอมแพ้มัน!
สุนัขสู้ชีวิต มนุษย์อย่างเรา อย่ายอมแพ้มัน!
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ใครที่คิดว่าชีวิตนี้ลำบากเหลือเกิน ทำไมโลกช่างโหดร้ายกับเราอย่างนี้... บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ งานก็ไม่มี เงินก็ยิ่งไม่มี แถมยังอกหัก รักคุด ตุ๊ดเมินอีก โอ้ย...!!! มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกไหม ท้อแท้... ท้อแท้... ท้อแท้สุดๆ หมดใจไม่อยากทำอะไรต่อไปแล้ว จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน...!!!
หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังรู้สึกแย่ ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ จนไม่อยากทำอะไร รู้สึกว่าตัวเองสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ทั้งๆ ที่บางทีคุณอาจยังไม่เคยคิดที่จะเริ่มต้นสู้เลยด้วยซ้ำ (ใช่ไหม) ลองดูภาพน่ารักๆ ของเจ้าสุนัข 2 ขาที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา สู้ทนใช้ชีวิตพิการด้วยความมุ่งมั่นตัวนี้ดู แม้มีเพียง 2 ขาผิดจากสุนัขธรรมดาทั่วไป แต่ก็ไม่เคยนอนรอความตาย แถมยังทำอะไรต่อมิอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เรียกได้ว่าเป็น "หมาสู้ชีวิต" เลยก็ว่าได้
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ใครที่คิดว่าชีวิตนี้ลำบากเหลือเกิน ทำไมโลกช่างโหดร้ายกับเราอย่างนี้... บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ งานก็ไม่มี เงินก็ยิ่งไม่มี แถมยังอกหัก รักคุด ตุ๊ดเมินอีก โอ้ย...!!! มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกไหม ท้อแท้... ท้อแท้... ท้อแท้สุดๆ หมดใจไม่อยากทำอะไรต่อไปแล้ว จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน...!!!
หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังรู้สึกแย่ ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ จนไม่อยากทำอะไร รู้สึกว่าตัวเองสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ทั้งๆ ที่บางทีคุณอาจยังไม่เคยคิดที่จะเริ่มต้นสู้เลยด้วยซ้ำ (ใช่ไหม) ลองดูภาพน่ารักๆ ของเจ้าสุนัข 2 ขาที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา สู้ทนใช้ชีวิตพิการด้วยความมุ่งมั่นตัวนี้ดู แม้มีเพียง 2 ขาผิดจากสุนัขธรรมดาทั่วไป แต่ก็ไม่เคยนอนรอความตาย แถมยังทำอะไรต่อมิอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เรียกได้ว่าเป็น "หมาสู้ชีวิต" เลยก็ว่าได้
การแก้ปัญหากลิ่นเหม็นจากการเลี้ยงสุนัข
การขับถ่ายของสุนัขโดยทั่วไปจะไม่ขับถ่ายประจำอยู่กับที่ แต่ถ้าเราฝึกสอนในระยะแรก ๆ ให้เขาขับถ่ายประจำที่ที่เรากำหนดให้ เราจึงควรกำหนดที่ขับถ่ายโดยการทำกระบะสำหรับให้เขาขับถ่ายควรจะทำให้ พื้นที่กว้าง ๆ หน่อย ในกระบะควรจะมีทรายผสมกับทรายแมวชนิดเกร็ด (ทรายแมวชนิดเกร็ดถ้าผสมกับทรายแล้วจะไม่ติดเท้าสัตว์ไปเลอะนอกกระบะ) เพื่อช่วยดูดซับกลิ่น ที่พื้นกระบะ เมื่อเขาขับถ่ายในกระบะเสร็จควรจะมีการกลบด้วยทรายผสมกับทรายแมวชนิดเกร็ด เพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นและแมลงวันเข้ามาตอมมูลและปัสสาวะของสุนัข
บริเวณที่นอนของสุนัข ถ้ามีกลิ่นเหม็นสาบ, ใช้สเม็คไทต์หรือไคลน็อพติโลไลท์หว่านคลุมแล้วใช้ไม้กวาดเกลี่ยให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที และทำการกวาดออก หรือดูดด้วยเครื่องดูดฝุ่น ฝุ่นที่ดูดได้นำไปใส่ดินปลูกต้นไม้เพื่อเป็นปุ๋ยได้ กลิ่นที่นอนของสุนัขจะลดลงและหายไปในที่สุด ถ้ากลิ่นยังไม่หายให้ทำซ้ำอีกครั้งดังวิธีข้างต้น
ใช้ไคลน็อพติโลไลท์อัตรา 200 กรัม ผสมน้ำ 1 กะละมัง (15-20 ลิตร กวนละลายให้เข้ากันดี ใช้อาบสุนัข กลิ่นเหม็นสาบที่ติดตัวสุนัขจะหายไป วิธีการนี้จะช่วยลดจำนวนของเห็บ หมัด ในตัวสุนัขได้ด้วย
บริเวณคอกสัตว์อื่น ๆ นอกจากสุนัขก็ใช้ได้ หากจุดใดมีกลิ่นเหม็น ให้หว่านสเม็คไทต์หรือไคลน็อพติโลไลท์ลงไปบริเวณนั้น ประมาณ 30 นาทีกลิ่นก็จะจางลงและหายไปในที่สุด
หากท่านต้องการรายละเอียด หรือวิธีใช้เพิ่มเติมกรุณาติดต่อชมรมฯ
บริเวณที่นอนของสุนัข ถ้ามีกลิ่นเหม็นสาบ, ใช้สเม็คไทต์หรือไคลน็อพติโลไลท์หว่านคลุมแล้วใช้ไม้กวาดเกลี่ยให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที และทำการกวาดออก หรือดูดด้วยเครื่องดูดฝุ่น ฝุ่นที่ดูดได้นำไปใส่ดินปลูกต้นไม้เพื่อเป็นปุ๋ยได้ กลิ่นที่นอนของสุนัขจะลดลงและหายไปในที่สุด ถ้ากลิ่นยังไม่หายให้ทำซ้ำอีกครั้งดังวิธีข้างต้น
ใช้ไคลน็อพติโลไลท์อัตรา 200 กรัม ผสมน้ำ 1 กะละมัง (15-20 ลิตร กวนละลายให้เข้ากันดี ใช้อาบสุนัข กลิ่นเหม็นสาบที่ติดตัวสุนัขจะหายไป วิธีการนี้จะช่วยลดจำนวนของเห็บ หมัด ในตัวสุนัขได้ด้วย
บริเวณคอกสัตว์อื่น ๆ นอกจากสุนัขก็ใช้ได้ หากจุดใดมีกลิ่นเหม็น ให้หว่านสเม็คไทต์หรือไคลน็อพติโลไลท์ลงไปบริเวณนั้น ประมาณ 30 นาทีกลิ่นก็จะจางลงและหายไปในที่สุด
หากท่านต้องการรายละเอียด หรือวิธีใช้เพิ่มเติมกรุณาติดต่อชมรมฯ
การกำจัดเห็บ หมัด สุนัขอย่างปลอดภัย
สวัสดีค่ะ ท่านสมาชิกชมรมและผู้ที่เยี่ยมชม ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ทุก ๆ ท่าน วันนี้ดิฉันมีเกร็ดความรู้เล็ก ๆน้อย ๆ สำหรับผู้ที่เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้าน ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “เห็บหมา” กิน เลือดหมาเป็นอาหาร เลือดคนหรือเลือดแมวก็กินได้ ตอนมันกินเลือดจนอ้วน สัตวแพทย์ บอกว่าอย่าไปบี้ให้เลือดมันออก เพราะเลือดมันมีไข่เต็มไปหมด ถ้าเลือดที่ตกค้างอยู่ตามพื้นก็จะกลายเป็นตัวอ่อนได้หมด เวลามันกินเลือดหมาจนอิ่มแล้ว มันจะต้องไปพักย่อยอาหารโดยทิ้งตัวให้ร่วงจากหมา แล้วคลานขึ้นที่สูงหาที่ออกไข่ พยายามมองดูตามมุมบ้านเหนือบริเวณที่หมานอนอยู่ จะเห็นเห็บไปฟักไข่อยู่แถวนั้น ถ้าหมามีที่วิ่งมาก ๆ เห็บจะไม่มากเท่าไร ถ้าหมาถูกขังกรง เห็บจะแยะมาก เพราะเห็บใหม่จะกลับมาเกาะได้ง่ายมาก ต้องหมั่นทำความสะอาดกรงอาจช่วยได้ หา วิธีหยดยา หรือ ฉีดยา ซึ่ง จะต้องทำเป็นประจำทุกเดือน การหยดยานั้นสามารถซื้อยาได้ตามร้าน pet shop มีหลายยี่ห้อราคาต่างกันไปตามน้ำหนักตัว ซึ่งยาเหล่านี้ราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าเราหมั่นอาบน้ำให้สุนัข บ่อย ๆ ทุกสัปดาห์ ก็จะช่วยป้องกันเห็บได้
แต่สุนัขบางตัวที่มีเห็บ หมัด เยอะมาก ๆ เราก็ได้หาผลิตภัณฑ์เสริม ที่จะมาช่วยกำจัดเห็บ ที่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ และสัตว์เลี้ยง รักษาโรคผิวหนัง ขี้เรื้อนในสุนัข และยังประหยัดต้นทุน ด้วย “พรีเว้นท์” หรือ “น้ำสัมควันไม้” ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ด้วยการ เวลาที่เราอาบน้ำให้กับสุนัข เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำ พรีเว้นท์ 1 ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร แล้วราดไปที่ตัวสุนัขให้ทั่วทั้งตัว แล้วขยี้เบา ๆย้อนขนสุนัข ตามซอกเล็บ ซอกหู แล้วทิ้งไว้ 1 วัน จากนั้นล้างออกโดยไม่ต้อง ฟอกแชมพู แล้วก็เสร็จตัวให้แห้ง แต่สุนัขจะมีกลิ่นน้ำสัมควันไม้ซักหน่อยนะค่ะ แต่ด้วยกลิ่นของน้ำส้มควันไม้จะช่วยกำจัด ไล่เห็บ หมัดออกจากตัวสุนัข และรักษาผิวหนังของสุนัข ทำแบบนี้ซัก 3-4 ครั้ง ติดต่อกัน นอก จากอาบที่ตัวสุนัขแล้ว ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุด นำพรีเว้นท์ 500 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นตามพื้นรอบบริเวณบ้าน กรงสุนัข หรือ บริเวณที่สุนัขนอนอยู่ ตามซอก มุม บ้าน เพื่อกำจัด เห็บตัวเล็ก ไข่ อ่อน ที่ฟังตัวอยู่ และสัตว์เลื้อยคลานไม่ให้เข้ามาอาศัยตามบ้านให้หมดไป
หากผู้ที่สนใจท่านใดที่ต้องการกำจัด เห็บ หมัด ตะขาบ ปลวก มด สัตว์เลื้อยคลาน และแมลงรำคาญต่าง ๆ ในบ้านเรือนของท่านอย่างปลอดสารพิษ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
นาง สาวเพชรรัตน์ มีมา (นักวิชาการ Tel. 089-444-2366)
ชมรม เกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
แต่สุนัขบางตัวที่มีเห็บ หมัด เยอะมาก ๆ เราก็ได้หาผลิตภัณฑ์เสริม ที่จะมาช่วยกำจัดเห็บ ที่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ และสัตว์เลี้ยง รักษาโรคผิวหนัง ขี้เรื้อนในสุนัข และยังประหยัดต้นทุน ด้วย “พรีเว้นท์” หรือ “น้ำสัมควันไม้” ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ด้วยการ เวลาที่เราอาบน้ำให้กับสุนัข เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำ พรีเว้นท์ 1 ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร แล้วราดไปที่ตัวสุนัขให้ทั่วทั้งตัว แล้วขยี้เบา ๆย้อนขนสุนัข ตามซอกเล็บ ซอกหู แล้วทิ้งไว้ 1 วัน จากนั้นล้างออกโดยไม่ต้อง ฟอกแชมพู แล้วก็เสร็จตัวให้แห้ง แต่สุนัขจะมีกลิ่นน้ำสัมควันไม้ซักหน่อยนะค่ะ แต่ด้วยกลิ่นของน้ำส้มควันไม้จะช่วยกำจัด ไล่เห็บ หมัดออกจากตัวสุนัข และรักษาผิวหนังของสุนัข ทำแบบนี้ซัก 3-4 ครั้ง ติดต่อกัน นอก จากอาบที่ตัวสุนัขแล้ว ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุด นำพรีเว้นท์ 500 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นตามพื้นรอบบริเวณบ้าน กรงสุนัข หรือ บริเวณที่สุนัขนอนอยู่ ตามซอก มุม บ้าน เพื่อกำจัด เห็บตัวเล็ก ไข่ อ่อน ที่ฟังตัวอยู่ และสัตว์เลื้อยคลานไม่ให้เข้ามาอาศัยตามบ้านให้หมดไป
หากผู้ที่สนใจท่านใดที่ต้องการกำจัด เห็บ หมัด ตะขาบ ปลวก มด สัตว์เลื้อยคลาน และแมลงรำคาญต่าง ๆ ในบ้านเรือนของท่านอย่างปลอดสารพิษ สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
นาง สาวเพชรรัตน์ มีมา (นักวิชาการ Tel. 089-444-2366)
ชมรม เกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
ลำดับความฉลาดของ สุนัข หมา
ลำดับความฉลาดของ สุนัข หมา
ลำดับไอคิวหมา รู้หรือเปล่าว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายน่ะ เค้าก็มีสติปัญญาเหมือนกับเราๆ นี่แหละ เพียงแต่ว่าสัตว์แต่ละชนิดอาจจะมีไม่เท่ากัน
และมีความถนัดหรือความสามารถเฉพาะตัวแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสัตว์ชนิดหนึ่งจึงทำอะไรๆ
ได้มากกว่าสัตว์อีกชนิดหนึ่งนั่นแหละ
ขอยกตัวอย่างเช่น เจ้าลิงชิมแปนซี ชิมแปนซีเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก
จะว่าฉลาดที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมดบนโลกนี้ (ยกเว้นมนุษย์) ก็ว่าได้
เคยมีคนทำการทดสอบโดยให้ลิงชิมแปนซีไปทำข้อสอบ Toefl ด้วยซ้ำ
เชื่อมั้ยคะ ว่าเจ้าลิงที่ไม่เคยเรียนหนังสือนี่น่ะ สามารถทำข้อสอบ Toefl
ได้ถึง 400 กว่าคะแนนทีเดียว ซึ่งเป็นคะแนนที่มากกว่าเราๆ บางคนทำได้ด้วยซ้ำ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ว่ามาตั้งนานเนี่ย
เราไม่ได้ตั้งใจจะมาพูดถึงไอคิวของลิงชิมแปนซีกันหรอก
แต่เรากำลังจะพูดถึงการจัดลำดับไอคิวสุนัขกันต่างหากล่ะ
ดร.สแตนเลย์ โคเรนท์ แห่งมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย
ในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ได้จัดอันดับไอคิวสุนัข
ตามความสามารถในการเรียนรู้จากการฝึก
สุนัขของคุณจะอยู่อันดับไหน ลองไปดูกันดีกว่า
1. คอลลี่
2. พุดเดิล
3. เยอรมัน เชฟเฟอร์ด
4. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
5. โดเบอร์แมน
6. เชทแลนด์ ชีพด็อก
7. ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์
8. ปาปิยอง
9. ร็อตไวเลอร์
10. ออสเตรเลี่ยน แคทเทิลด็อก
11. เวลช์คอร์กี้
12. มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
13. อิงลิช สปริงเกอร์ สแปเนียล
14. เบลเจียนเทอร์เชน
15. เบลเจียนชีพด็อก
16. คอลลี่ คีชอนด์
17. เยอรมัน ชอร์ทแฮร์ พอยเตอร์
18. อิงลิชค็อกเกอร์ สแปเนียล, สแตนดาร์ด ชเนาเซอร์
19. บริตตานี สแปเนียล
20. คอกเกอร์ สแปเนียล
21. ไวมาราเนอร์
22. เบลเจียน มาลิโนส์, เปอร์นีส เมาน์เทนด็อก
23. ปอมเมอเรเนียน
24. ไอรีสวอเตอร์ สแปเนียล
25. วิสซิลล่า
26. คอร์ดิแกน เวลช์ คอร์กี้
27. พูลิ, ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
28. ไจแอนท์ ชเนาเซอร์
29. แอร์เดล
30. บอเดอร์ เทอร์เรีย
31. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
32. แมนเชสเตอร์ เทอร์เรีย
33. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
34. ฟิลด์ สแปเนียล, นิวฟาวแลนด์, ออสเตรเลียน เทอร์เรีย, เบียร์เด็ด คอลลี่
35. ไอริส เซทเตอร์
36. นอร์วีเจียน เอลค์ฮาวด์
37. ซิลกี้ เทอร์เรีย, มินิเอเจอร์ พินช์เชอร์
38. นอร์วิด เทอร์เรียล
39. ดัลเมเชียน
40. ฟ็อก เทอร์เรีย
41. ไอริช วูล์ฟฮาวด์
42. ออสเตรเลียน เชฟเฟอร์ด
43. ซาลูกิ, ฟินนิช สปิทซ์, พอยเตอร์
44. อเมริกัน วอเตอร์ สแปเนียล
45. ไซบีเรียน ฮัสกี้
46. อิงลิช ฟ็อกซ์ฮาวด์, อเมริกัน ฟ็อกซ์ฮาวด์, เกรย์ฮาวด์
47. สก็อตติช เดียฮาวด์
48. บ็อกเซอร์, เกรทเดน
49. ดัชชุนต์
50. อาลาสก้า มาลามุท
51. วิพเพท
52. โรดีเชียน ริดจ์แบ็ค
53. ไอริช เทอร์เรีย
54. บอสตัน เทอร์เรีย, อากิตะ
55. สกาย เทอร์เรีย
56. นอร์โฟล์ค เทอร์เรีย
57. ปั๊ก
58. เฟรนช์บูลด็อก
59. มอลทีส เทอร์เรีย
60. อิตาเลียน เกรย์ฮาวด์
61. ไชนีส เครสเต็ด
62. เจแปนนีส ชิน
63. โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก
64. เกรท พิเรนี
65. สก็อตติช เทอร์เรีย, เซนต์เบอร์นาร์ด
66. บูล เทอร์เรีย
67. ชิวาว่า
68. ลาซา แอปโซ
69. มาสทิฟฟ์
70. ชิสุ
71. บาสเซท ฮาวด์
72. บีเกิล
73. ปักกิ่ง
74. บลัดฮาวด์
75. บอร์ซอย
76. เชาเชา
77. บูลด็อก
78. บาเซนจิ
79. อาฟกัน ฮาวด์
รูปพันธ์คอลลี่ครับ
108dog.com 108dog.com 108dog.com 108dog.com 108dog.com 108dog.com
นำมาจากFW mail
รวบรวมบทความโดย http://108dog.com
ลำดับไอคิวหมา รู้หรือเปล่าว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายน่ะ เค้าก็มีสติปัญญาเหมือนกับเราๆ นี่แหละ เพียงแต่ว่าสัตว์แต่ละชนิดอาจจะมีไม่เท่ากัน
และมีความถนัดหรือความสามารถเฉพาะตัวแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสัตว์ชนิดหนึ่งจึงทำอะไรๆ
ได้มากกว่าสัตว์อีกชนิดหนึ่งนั่นแหละ
ขอยกตัวอย่างเช่น เจ้าลิงชิมแปนซี ชิมแปนซีเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก
จะว่าฉลาดที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมดบนโลกนี้ (ยกเว้นมนุษย์) ก็ว่าได้
เคยมีคนทำการทดสอบโดยให้ลิงชิมแปนซีไปทำข้อสอบ Toefl ด้วยซ้ำ
เชื่อมั้ยคะ ว่าเจ้าลิงที่ไม่เคยเรียนหนังสือนี่น่ะ สามารถทำข้อสอบ Toefl
ได้ถึง 400 กว่าคะแนนทีเดียว ซึ่งเป็นคะแนนที่มากกว่าเราๆ บางคนทำได้ด้วยซ้ำ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ว่ามาตั้งนานเนี่ย
เราไม่ได้ตั้งใจจะมาพูดถึงไอคิวของลิงชิมแปนซีกันหรอก
แต่เรากำลังจะพูดถึงการจัดลำดับไอคิวสุนัขกันต่างหากล่ะ
ดร.สแตนเลย์ โคเรนท์ แห่งมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย
ในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ได้จัดอันดับไอคิวสุนัข
ตามความสามารถในการเรียนรู้จากการฝึก
สุนัขของคุณจะอยู่อันดับไหน ลองไปดูกันดีกว่า
1. คอลลี่
2. พุดเดิล
3. เยอรมัน เชฟเฟอร์ด
4. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
5. โดเบอร์แมน
6. เชทแลนด์ ชีพด็อก
7. ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์
8. ปาปิยอง
9. ร็อตไวเลอร์
10. ออสเตรเลี่ยน แคทเทิลด็อก
11. เวลช์คอร์กี้
12. มินิเอเจอร์ ชเนาเซอร์
13. อิงลิช สปริงเกอร์ สแปเนียล
14. เบลเจียนเทอร์เชน
15. เบลเจียนชีพด็อก
16. คอลลี่ คีชอนด์
17. เยอรมัน ชอร์ทแฮร์ พอยเตอร์
18. อิงลิชค็อกเกอร์ สแปเนียล, สแตนดาร์ด ชเนาเซอร์
19. บริตตานี สแปเนียล
20. คอกเกอร์ สแปเนียล
21. ไวมาราเนอร์
22. เบลเจียน มาลิโนส์, เปอร์นีส เมาน์เทนด็อก
23. ปอมเมอเรเนียน
24. ไอรีสวอเตอร์ สแปเนียล
25. วิสซิลล่า
26. คอร์ดิแกน เวลช์ คอร์กี้
27. พูลิ, ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
28. ไจแอนท์ ชเนาเซอร์
29. แอร์เดล
30. บอเดอร์ เทอร์เรีย
31. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
32. แมนเชสเตอร์ เทอร์เรีย
33. เวลช์ สปริงเกอร์ สแปเนียล
34. ฟิลด์ สแปเนียล, นิวฟาวแลนด์, ออสเตรเลียน เทอร์เรีย, เบียร์เด็ด คอลลี่
35. ไอริส เซทเตอร์
36. นอร์วีเจียน เอลค์ฮาวด์
37. ซิลกี้ เทอร์เรีย, มินิเอเจอร์ พินช์เชอร์
38. นอร์วิด เทอร์เรียล
39. ดัลเมเชียน
40. ฟ็อก เทอร์เรีย
41. ไอริช วูล์ฟฮาวด์
42. ออสเตรเลียน เชฟเฟอร์ด
43. ซาลูกิ, ฟินนิช สปิทซ์, พอยเตอร์
44. อเมริกัน วอเตอร์ สแปเนียล
45. ไซบีเรียน ฮัสกี้
46. อิงลิช ฟ็อกซ์ฮาวด์, อเมริกัน ฟ็อกซ์ฮาวด์, เกรย์ฮาวด์
47. สก็อตติช เดียฮาวด์
48. บ็อกเซอร์, เกรทเดน
49. ดัชชุนต์
50. อาลาสก้า มาลามุท
51. วิพเพท
52. โรดีเชียน ริดจ์แบ็ค
53. ไอริช เทอร์เรีย
54. บอสตัน เทอร์เรีย, อากิตะ
55. สกาย เทอร์เรีย
56. นอร์โฟล์ค เทอร์เรีย
57. ปั๊ก
58. เฟรนช์บูลด็อก
59. มอลทีส เทอร์เรีย
60. อิตาเลียน เกรย์ฮาวด์
61. ไชนีส เครสเต็ด
62. เจแปนนีส ชิน
63. โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก
64. เกรท พิเรนี
65. สก็อตติช เทอร์เรีย, เซนต์เบอร์นาร์ด
66. บูล เทอร์เรีย
67. ชิวาว่า
68. ลาซา แอปโซ
69. มาสทิฟฟ์
70. ชิสุ
71. บาสเซท ฮาวด์
72. บีเกิล
73. ปักกิ่ง
74. บลัดฮาวด์
75. บอร์ซอย
76. เชาเชา
77. บูลด็อก
78. บาเซนจิ
79. อาฟกัน ฮาวด์
รูปพันธ์คอลลี่ครับ
108dog.com 108dog.com 108dog.com 108dog.com 108dog.com 108dog.com
นำมาจากFW mail
รวบรวมบทความโดย http://108dog.com
วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สุนัขเราน้ำหนักมากไปหรือเปล่านะ
สุนัขเราน้ำหนักมากไปหรือ เปล่านะ
เจ้าของสุนัขทั้งหลายมักจะพบปัญหาว่าจะ รู้ได้อย่างไรว่าสุนัขของเขามีน้ำหนักมากเกินไป หรือถ้าน้ำหนักมากเกินไป แล้วเขาควรต้องทำอย่างไร ต่อไปนี้จะเป็นสองขั้นตอนที่จะพาคุณเข้าไปพบกับวิธีการแยกแยะปัญหาเกี่ยวกับ น้ำหนักของสุนัข และแนะนำวิธีการในการลดน้ำหนักให้สุนัข รวมทั้งจะบอกได้ด้วยว่าสุนัขอันเป็นที่รักของคุณนั้น เค้ามีน้ำหนักเกินพอดีไปแล้ว
วิธีการแรกก็คือ ให้มองสุนัขจากด้างนนแล้วดูว่าเขามีเอวหรือไม่ ในสุนัขที่มีน้ำหนักกำลังดีนั้น คุณจะเห็น เอวของเค้าอย่างชัดเจน จากนั้นให้วางมือทั้งสองข้างของคุณลงบนซี่โครงของเขาให้แน่น คุณควรจะรู้สึกได้ว่ากำลัง สัมผัสซี่โครงเค้า แต่ถ้าคุณไม่รู้สึกถึงซี่โครงของเขา แสดงว่าสุนัขของคุณน้ำหนักมากเกินไปแล้ว แต่ถ้าคุณสามารถมองเห็น แนวซี่โครงของเค้าได้ชัดโดยไม่ต้องใช้มือจับ นั่นก็แสดงว่าเค้าผอมไปหรือมีน้ำหนักน้อย เกินไปนั่นเอง
ภาวะน้ำหนักเกินเป็นโรคเกี่ยวกับโภชนาการที่พบ เสมอ โดยเฉพาะในประเทศแถบตะวันตก น้ำหนักที่มากเกินไป จะทำให้สุนัขมีความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆมากขึ้น หากสุนัขคุณมีน้ำหนักเกิน คุณควรปฎิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้เพื่อ ช่วยให้สุขภาพเค้าดีขึ้นและลดน้ำหนักลงอย่างได้ผล
เลิกให้ของว่างหรืออาหารที่เหลือจาก ยนโต๊ะ เมื่อเค้าจำต้องอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก
การที่สุนัขทีน้ำหนักเกินมักเกิดจากกิน อาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย ดังนั้นคุณควรที่จะแบ่งอาหาร ที่จะให้เขากินในแต่ละวันออกเป็นมื้อเล็กๆวันละ 2-4 มื้อ และอย่าให้อาหารนอกมื้อเด็ดขาด หมั่นชั่งน้ำหนัก ของเค้าให้เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งและให้เลือกชั่งในเวลาใดเวลา หนึ่งของวันเป็นเวลาประจำ ชั่งน้ำหนักเขา อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จดบันทึกวัน เวลา และน้ำหนักที่ชั่งได้เก็บไว้เสมอ
หากคุณเลี้ยงสุนัขมากกว่าหนึ่งตัว ควรจะให้อาหารเค้าทีละตัว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เจ้าตัวที่กำลังลดน้ำหนักไป แย่งอาหารจากจานของตัวอื่น ให้คุณให้อาหารสุนัขของคุณก่อนที่คุณจะรับประทานอาหาร และให้พวกเค้าอยู่ห่างๆคุณหรือ ให้อยู่กันคนละห้องไปเลยขณะเวลาที่คุณกำลังรับประทานอาหารอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันการอ้อนขออาหารของเจ้าตาใส และเพื่อเป็นการป้องกันคุณใจอ่อนด้วย
ให้เข้มงวดกับสุนัขคุณในเรื่องกิจกรรมนอก บ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เค้าไปคุ้ยหาเศษขยะตอนที่อยู่นอกบ้าน ดังนี้ถังขยะ ทั้งในบ้านและนอกตัวบ้านก็ควรจะปิดฝาให้เรียบร้อยที่สุดด้วย
คุยกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันว่าสุนัข ของคุณกำลังลดน้ำหนักอยู่ เพื่อไม่ให้พวกเพื่อนๆของคุณให้อาหารสุนัขของคุณ เพิ่มเติมอีก
ให้คุณเตรียมน้ำที่ใหม่และสะอาดไว้รอ สุนัขตลอดเวลา
ตรวจร่างกายเป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
หมั่น พาสุนัขไปออกกำลังกายเป็นประจำ ค่อยๆเริ่มด้วยการออกกำลังเป็นระยะเวลาสั้นๆก่อน แล้วค่อยๆขยายเวลา ให้มากขึ้นทีละน้อย ซึ่งคุณอาจจะเริ่มต้นจากการเดิน และจากนั้นเมื่อเห็นสุนัขของคุณกำลังเริ่มสนุกกับการออกกำลังที่มากขึ้น ก็ให้เปลี่ยนไปเป็นการเล่นเกมส์ที่ต้องมีวิ่งประกอบด้วย อย่างเช่น เล่นแย่งของกัน หรือหลอกล่อของเล่นกันไปมา
เจ้าของสุนัขทั้งหลายมักจะพบปัญหาว่าจะ รู้ได้อย่างไรว่าสุนัขของเขามีน้ำหนักมากเกินไป หรือถ้าน้ำหนักมากเกินไป แล้วเขาควรต้องทำอย่างไร ต่อไปนี้จะเป็นสองขั้นตอนที่จะพาคุณเข้าไปพบกับวิธีการแยกแยะปัญหาเกี่ยวกับ น้ำหนักของสุนัข และแนะนำวิธีการในการลดน้ำหนักให้สุนัข รวมทั้งจะบอกได้ด้วยว่าสุนัขอันเป็นที่รักของคุณนั้น เค้ามีน้ำหนักเกินพอดีไปแล้ว
วิธีการแรกก็คือ ให้มองสุนัขจากด้างนนแล้วดูว่าเขามีเอวหรือไม่ ในสุนัขที่มีน้ำหนักกำลังดีนั้น คุณจะเห็น เอวของเค้าอย่างชัดเจน จากนั้นให้วางมือทั้งสองข้างของคุณลงบนซี่โครงของเขาให้แน่น คุณควรจะรู้สึกได้ว่ากำลัง สัมผัสซี่โครงเค้า แต่ถ้าคุณไม่รู้สึกถึงซี่โครงของเขา แสดงว่าสุนัขของคุณน้ำหนักมากเกินไปแล้ว แต่ถ้าคุณสามารถมองเห็น แนวซี่โครงของเค้าได้ชัดโดยไม่ต้องใช้มือจับ นั่นก็แสดงว่าเค้าผอมไปหรือมีน้ำหนักน้อย เกินไปนั่นเอง
ภาวะน้ำหนักเกินเป็นโรคเกี่ยวกับโภชนาการที่พบ เสมอ โดยเฉพาะในประเทศแถบตะวันตก น้ำหนักที่มากเกินไป จะทำให้สุนัขมีความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆมากขึ้น หากสุนัขคุณมีน้ำหนักเกิน คุณควรปฎิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้เพื่อ ช่วยให้สุขภาพเค้าดีขึ้นและลดน้ำหนักลงอย่างได้ผล
เลิกให้ของว่างหรืออาหารที่เหลือจาก ยนโต๊ะ เมื่อเค้าจำต้องอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก
การที่สุนัขทีน้ำหนักเกินมักเกิดจากกิน อาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย ดังนั้นคุณควรที่จะแบ่งอาหาร ที่จะให้เขากินในแต่ละวันออกเป็นมื้อเล็กๆวันละ 2-4 มื้อ และอย่าให้อาหารนอกมื้อเด็ดขาด หมั่นชั่งน้ำหนัก ของเค้าให้เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งและให้เลือกชั่งในเวลาใดเวลา หนึ่งของวันเป็นเวลาประจำ ชั่งน้ำหนักเขา อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จดบันทึกวัน เวลา และน้ำหนักที่ชั่งได้เก็บไว้เสมอ
หากคุณเลี้ยงสุนัขมากกว่าหนึ่งตัว ควรจะให้อาหารเค้าทีละตัว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เจ้าตัวที่กำลังลดน้ำหนักไป แย่งอาหารจากจานของตัวอื่น ให้คุณให้อาหารสุนัขของคุณก่อนที่คุณจะรับประทานอาหาร และให้พวกเค้าอยู่ห่างๆคุณหรือ ให้อยู่กันคนละห้องไปเลยขณะเวลาที่คุณกำลังรับประทานอาหารอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันการอ้อนขออาหารของเจ้าตาใส และเพื่อเป็นการป้องกันคุณใจอ่อนด้วย
ให้เข้มงวดกับสุนัขคุณในเรื่องกิจกรรมนอก บ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เค้าไปคุ้ยหาเศษขยะตอนที่อยู่นอกบ้าน ดังนี้ถังขยะ ทั้งในบ้านและนอกตัวบ้านก็ควรจะปิดฝาให้เรียบร้อยที่สุดด้วย
คุยกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันว่าสุนัข ของคุณกำลังลดน้ำหนักอยู่ เพื่อไม่ให้พวกเพื่อนๆของคุณให้อาหารสุนัขของคุณ เพิ่มเติมอีก
ให้คุณเตรียมน้ำที่ใหม่และสะอาดไว้รอ สุนัขตลอดเวลา
ตรวจร่างกายเป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
หมั่น พาสุนัขไปออกกำลังกายเป็นประจำ ค่อยๆเริ่มด้วยการออกกำลังเป็นระยะเวลาสั้นๆก่อน แล้วค่อยๆขยายเวลา ให้มากขึ้นทีละน้อย ซึ่งคุณอาจจะเริ่มต้นจากการเดิน และจากนั้นเมื่อเห็นสุนัขของคุณกำลังเริ่มสนุกกับการออกกำลังที่มากขึ้น ก็ให้เปลี่ยนไปเป็นการเล่นเกมส์ที่ต้องมีวิ่งประกอบด้วย อย่างเช่น เล่นแย่งของกัน หรือหลอกล่อของเล่นกันไปมา
คู่มือน้ำหนักสำหรับสุนัข
คู่มือน้ำหนักสำหรับสุนัข
บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะบอกออกมาได้ว่าน้ำหนักของสุนัขที่คุณเลี้ยงควรจะ เป็นเท่าไหร่ดี และด้วยมนุษย์อย่างเรา น้ำหนักเค้าก็จะเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ ต่อไปนี้จะเป็นคู่มือน้ำหนักสำหรับสุนัขพันธุ์บางพันธุ์ที่คนนิยมเลี้ยง ถ้าคุณไม่เห็นพันธุ์ของสุนัขที่คุณเลี้ยงอยู่ในรายการนี้ ให้ตรวจเอาจากน้ำหนักของพันธุ์เดียวกันที่มีขนาดใกล้เคียงกับร่างกายสุนัข ของคุณมากที่สุด หรือหากคุณยังมีคำถาม ให้ถามเพิ่มเติมจากสัตว์แพทย์
สุนัขพันธุ์
ขนาดเล็ก
สุนัขพันธุ์
ขนาดกลาง
สุนัขพันธุ์
ขนาดใหญ่
สุนัขพันธุ์
ขนาดใหญ่มาก
พันธุ์ชิวาวา
4 ปอนด์
พันธุ์ค๊อก เกอร์
สแปเนียล
25 ปอนด์
พันธุ์ไซบี เรียน ฮัสกี้ 50 ปอนด์
พันธุ์ โอลด์ อิงลิช ชีพด๊อก
95 ปอนด์
พันธุ์ ปักกิ่ง
9 ปอนด์
พันธุ์ บีเกิล
25 ปอนด์
พันธุ์
ไอ เรเดล เทอร์เรีย
50 ปอนด์
พันธุ์ เกรทเดน 130 ปอนด์
พันธุ์
มิ เนียเจอร์
สเนาเซอร์
15 ปอนด์
พันธุ์บริ ตทา
นีสแปเนียล
35 ปอนด์
พันธุ์ พ๊อยน์เตอร์ 65 ปอนด์
พันธุ์ เซนต์
เบอร์นาร์ด
165 ปอนด์
พันธุ์บอส ตั้นเทอร์เรีย
19 ปอนด์
พันธุ์
ลาบ ราดอร์
รีทรีฟเวอร์
75 ปอนด์
บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะบอกออกมาได้ว่าน้ำหนักของสุนัขที่คุณเลี้ยงควรจะ เป็นเท่าไหร่ดี และด้วยมนุษย์อย่างเรา น้ำหนักเค้าก็จะเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ ต่อไปนี้จะเป็นคู่มือน้ำหนักสำหรับสุนัขพันธุ์บางพันธุ์ที่คนนิยมเลี้ยง ถ้าคุณไม่เห็นพันธุ์ของสุนัขที่คุณเลี้ยงอยู่ในรายการนี้ ให้ตรวจเอาจากน้ำหนักของพันธุ์เดียวกันที่มีขนาดใกล้เคียงกับร่างกายสุนัข ของคุณมากที่สุด หรือหากคุณยังมีคำถาม ให้ถามเพิ่มเติมจากสัตว์แพทย์
สุนัขพันธุ์
ขนาดเล็ก
สุนัขพันธุ์
ขนาดกลาง
สุนัขพันธุ์
ขนาดใหญ่
สุนัขพันธุ์
ขนาดใหญ่มาก
พันธุ์ชิวาวา
4 ปอนด์
พันธุ์ค๊อก เกอร์
สแปเนียล
25 ปอนด์
พันธุ์ไซบี เรียน ฮัสกี้ 50 ปอนด์
พันธุ์ โอลด์ อิงลิช ชีพด๊อก
95 ปอนด์
พันธุ์ ปักกิ่ง
9 ปอนด์
พันธุ์ บีเกิล
25 ปอนด์
พันธุ์
ไอ เรเดล เทอร์เรีย
50 ปอนด์
พันธุ์ เกรทเดน 130 ปอนด์
พันธุ์
มิ เนียเจอร์
สเนาเซอร์
15 ปอนด์
พันธุ์บริ ตทา
นีสแปเนียล
35 ปอนด์
พันธุ์ พ๊อยน์เตอร์ 65 ปอนด์
พันธุ์ เซนต์
เบอร์นาร์ด
165 ปอนด์
พันธุ์บอส ตั้นเทอร์เรีย
19 ปอนด์
พันธุ์
ลาบ ราดอร์
รีทรีฟเวอร์
75 ปอนด์
การเลือกสัตวแพทย์
การเลือกสัตวแพทย์
การเลือกสัตว์แพทย์ให้ถูกต้องก็เป็น เรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด ที่คุณจะทำเพื่อสุนัขของคุณได้ เพื่อช่วยให้เค้ามีอายุยืนและมีสุขภาพดี สัตว์แพทย์นั้นควรจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญทางด้านเทคนิค มีความรู้เกี่ยวกับ เทคนิคหรือวิธีการรักษาแบบใหม่ๆ และมีความมุ่งมั่นอย่างอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ที่จะช่วยสุนัขของคุณไปจนกว่า เค้าจะหายป่วย คุณจะต้องมั่นใจว่าสัตว์แพทย์สามารถอธิบายให้่คุณสามารถเข้าใจได้ และสามารถตอบคำถามของคุณได้ด้วย เพื่อที่คุณจะสามารถรับผิดชอบในการตัดสินใจสำหรับสุนัขของคุณได้ ลำดับต่อไปจะเป็นวิธีง่ายๆสำหรับการเลือก สัตว์แพทย์
จะหา สัตว์แพทย์ได้อย่างไร
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในการ เลือกสัตวแพทย์คือต้องเลือกคนที่คุณไว้ใจ เพราะสุนัขของคุณ บอกคุณไม่สามารถพูด บอกคุณได้ว่าเค้ารู้สึกอย่างไรและคุณก็จะไม่มีเวลามาเฝ้าได้ตลอดเวลาว่าหมอ ทำอะไรกับสุนัขของคุณหลังจากที่คุณเดินกลับออกจากคลินิกไปแล้ว ลองถามจากเพื่อนๆ เพื่อนบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกัน หรือเพื่อนร่วมงานเพื่อหาคำแนะนำที่ดีที่สุด คนรักสัตว์คนอื่นๆจะช่วยบอกคุณได้ว่าสัตว์แพทย์คนไหนที่มีความรู้ความสามารถ มีเมตตา และทำงานหนักเพื่อรักษาสัตว์ ทุกตัวให้หายจากไม่สบาย
คำถาม แบบไหนที่จะใช้ประเมินความสามารถของสัตว์แพทย์ว่าเพียงพอแก่การรักษาหรือไม่
คุณควรพาสัตว์ เลี้ยงของคุณไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์หรือเปล่า? ควรเลือกสถานที่รักษาให้เหมาะกับสัตว์เลี้ยง ของคุณ เช่น ไม่ควรพาสุนัขไปรักษาตามคลินิคที่เชี่ยวชาญแต่การรักษานกหรือสัตว์เลื้อย คลาน
คลีนิคหรือโรงพยาบาบแห่งนั้นตั้งอยู่ในที่ที่คุณไป มาสะดวกไหม เวลาเปิดทำการของเขาตรงกับเวลาว่างของคุณ หรือไม่ ถ้าคุณไม่ค่อยมีเวลา พยายามหาร้านที่เปิดในช่วงเย็นหรือวันเสาร์อาทิตย์ โรงพยาบาลสัตว์ใหญ่ๆมักจะเปิดทำการ 24 ชั่วโมง
พนักงานอื่นๆใน คลินิกหรือโรงพยาบาลเหล่านั้นพอจะมีความรู้และให้การช่วยเหลืออะไรบ้างหรือ เปล่า? ดูให้แน่ว่าผู้ช่วยสัตว์แพทย์ในคลินิกแห่งนั้นๆรู้งาน หรือมีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไรหรือไม่ พนักงานได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธีและมีเครื่องมือแพทย์ระดับมืออาชีพไว้รอง รับการใช้งานหรือไม่
สัตว์แพทย์ที่คุณพาสุนัขไปรับการ รักษา จะแนะนำให้คุณพาสุนัขไปพบผู้ชำนาญการเฉพาะทางเพราะสภาพอาการ ของเค้าต้องการการรักษาเช่นนั้นหรือไม่? ทุกวันนี้ผู้ชำนาญเฉพาะทางเกี่ยวกับสัตว์ก็มี ผู้ชำนาญทางด้านวิสัญญี ทางด้าน พฤติกรรมสัตว์ ทางด้านโรคหัวใจ ทันตแพทย์ ทางด้านผิวหนัง ทางด้านการดูแลเหตุการณ์ฉุกเฉินและเร่งด่วน ทางด้าน การใช้ยารักษาภายใน ทางด้านประสาท ทางด้านเนื้องอก ทางด้านจักษุ การฉายรังสี และศัลยกรรม แต่ละสายงานที่ว่ามานี้ ล้วนแล้วแต่ต้องมีใบรับรองการประกอบวิชาอาชีพพิเศษ เกินกว่าที่จะมีแค่ใบประกอบโรคศิลป์เช่นสัตว์แพทย์ธรรมดาใบเดียว
ที่ว่ามาทั้งหมด ข้างต้นน่าจะเป็นส่วนช่วยให้คุณสามารถเลือกสัตว์แพทย์ให้สุนัขของคุณได้ ต้องมั่นในว่าเขาคือคน ที่คุณสามารถปรึกษา ถามคำถามและถามค่ารักษาพยาบาลได้ สิ่งสำคัญคือคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
การเลือกสัตว์แพทย์ให้ถูกต้องก็เป็น เรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด ที่คุณจะทำเพื่อสุนัขของคุณได้ เพื่อช่วยให้เค้ามีอายุยืนและมีสุขภาพดี สัตว์แพทย์นั้นควรจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญทางด้านเทคนิค มีความรู้เกี่ยวกับ เทคนิคหรือวิธีการรักษาแบบใหม่ๆ และมีความมุ่งมั่นอย่างอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ที่จะช่วยสุนัขของคุณไปจนกว่า เค้าจะหายป่วย คุณจะต้องมั่นใจว่าสัตว์แพทย์สามารถอธิบายให้่คุณสามารถเข้าใจได้ และสามารถตอบคำถามของคุณได้ด้วย เพื่อที่คุณจะสามารถรับผิดชอบในการตัดสินใจสำหรับสุนัขของคุณได้ ลำดับต่อไปจะเป็นวิธีง่ายๆสำหรับการเลือก สัตว์แพทย์
จะหา สัตว์แพทย์ได้อย่างไร
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในการ เลือกสัตวแพทย์คือต้องเลือกคนที่คุณไว้ใจ เพราะสุนัขของคุณ บอกคุณไม่สามารถพูด บอกคุณได้ว่าเค้ารู้สึกอย่างไรและคุณก็จะไม่มีเวลามาเฝ้าได้ตลอดเวลาว่าหมอ ทำอะไรกับสุนัขของคุณหลังจากที่คุณเดินกลับออกจากคลินิกไปแล้ว ลองถามจากเพื่อนๆ เพื่อนบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกัน หรือเพื่อนร่วมงานเพื่อหาคำแนะนำที่ดีที่สุด คนรักสัตว์คนอื่นๆจะช่วยบอกคุณได้ว่าสัตว์แพทย์คนไหนที่มีความรู้ความสามารถ มีเมตตา และทำงานหนักเพื่อรักษาสัตว์ ทุกตัวให้หายจากไม่สบาย
คำถาม แบบไหนที่จะใช้ประเมินความสามารถของสัตว์แพทย์ว่าเพียงพอแก่การรักษาหรือไม่
คุณควรพาสัตว์ เลี้ยงของคุณไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์หรือเปล่า? ควรเลือกสถานที่รักษาให้เหมาะกับสัตว์เลี้ยง ของคุณ เช่น ไม่ควรพาสุนัขไปรักษาตามคลินิคที่เชี่ยวชาญแต่การรักษานกหรือสัตว์เลื้อย คลาน
คลีนิคหรือโรงพยาบาบแห่งนั้นตั้งอยู่ในที่ที่คุณไป มาสะดวกไหม เวลาเปิดทำการของเขาตรงกับเวลาว่างของคุณ หรือไม่ ถ้าคุณไม่ค่อยมีเวลา พยายามหาร้านที่เปิดในช่วงเย็นหรือวันเสาร์อาทิตย์ โรงพยาบาลสัตว์ใหญ่ๆมักจะเปิดทำการ 24 ชั่วโมง
พนักงานอื่นๆใน คลินิกหรือโรงพยาบาลเหล่านั้นพอจะมีความรู้และให้การช่วยเหลืออะไรบ้างหรือ เปล่า? ดูให้แน่ว่าผู้ช่วยสัตว์แพทย์ในคลินิกแห่งนั้นๆรู้งาน หรือมีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไรหรือไม่ พนักงานได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธีและมีเครื่องมือแพทย์ระดับมืออาชีพไว้รอง รับการใช้งานหรือไม่
สัตว์แพทย์ที่คุณพาสุนัขไปรับการ รักษา จะแนะนำให้คุณพาสุนัขไปพบผู้ชำนาญการเฉพาะทางเพราะสภาพอาการ ของเค้าต้องการการรักษาเช่นนั้นหรือไม่? ทุกวันนี้ผู้ชำนาญเฉพาะทางเกี่ยวกับสัตว์ก็มี ผู้ชำนาญทางด้านวิสัญญี ทางด้าน พฤติกรรมสัตว์ ทางด้านโรคหัวใจ ทันตแพทย์ ทางด้านผิวหนัง ทางด้านการดูแลเหตุการณ์ฉุกเฉินและเร่งด่วน ทางด้าน การใช้ยารักษาภายใน ทางด้านประสาท ทางด้านเนื้องอก ทางด้านจักษุ การฉายรังสี และศัลยกรรม แต่ละสายงานที่ว่ามานี้ ล้วนแล้วแต่ต้องมีใบรับรองการประกอบวิชาอาชีพพิเศษ เกินกว่าที่จะมีแค่ใบประกอบโรคศิลป์เช่นสัตว์แพทย์ธรรมดาใบเดียว
ที่ว่ามาทั้งหมด ข้างต้นน่าจะเป็นส่วนช่วยให้คุณสามารถเลือกสัตว์แพทย์ให้สุนัขของคุณได้ ต้องมั่นในว่าเขาคือคน ที่คุณสามารถปรึกษา ถามคำถามและถามค่ารักษาพยาบาลได้ สิ่งสำคัญคือคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
สุนัขอายุมาก
สุนัขอายุมาก
สุนัข ที่มีอายุมากๆนั้นมีความต้องการเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ร่างกายของเค้ากำลังเริ่มจะเชื่องช้าลงอันเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงความ เหนื่อยอ่อนและชีวิตกำลังเริ่มย่างก้าวเข้าไปหาจุดสิ้นสุดแล้ว ความมีอายุยืนของสุนัขนั้นมีขึ้นได้จากสาเหตุที่กว้างมาก และยังขึ้นอยู่กับแต่ละพันธุ์ด้วยแม้ว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยก็ตาม จุดเริ่มต้นชีวิตที่ดีนั้น ก็คือการดูแลอย่างถูกวิธีและรวมถึงการให้การโภชนาการที่ถูกต้องนับตั้งแต่ เวลาที่เค้าเป็นลูกสุนัขตลอดจนเวลาที่เค้าโตขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะดีติดตัวสุนัขไป และมีส่วนทำให้เค้ามีชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงไปยาวนานแม้เค้าแก่ตัวลงก็ตาม
เมื่อ คุณอยู่กับเค้าทุกๆวัน คุณจะไม่สังเกตเห็นถึงความชราของเค้าที่ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นทีละนิดหรอก แต่หากคุณให้การดูแลกับเค้าให้มากขึ้นไปอีกนิด คุณจะสามารถทำให้สุนัขที่มีอายุมากๆของคุณนั้นมีความสบาย และด้วยการหมั่นพาเค้าไปตรวจกับสัตว์แพทย์เป็นประจำ เมื่อรวมกับข้อที่ควรคำนึงประการอื่นๆแล้วคุณจะสามารถทำให้เค้ามีสุขภาพที่ ดีไปเรื่อยๆจนกระทั่งก่อนวันสุดท้ายของเค้า หากว่าเค้าอายุได้ 8-9 ปีแล้วก็ถือได้ว่าสุนัขของคุณเริ่มเข้าสู่วัยที่มีอายุมากแล้ว ในสุนัขพันธุ์ใหญ่มากๆนั้นอาจจะคำนวณว่าเค้าอยู่ในช่วงชีวิตนี้เมื่อเค้ามี อายุได้ประมาณ 8 ปี หรือเร็วกว่านั้น ในขณะที่สุนัขพันธุ์เทอร์เรียและสุนัขพันธุ์ผสมนั้นจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ยาวนานที่สุดคือประมาณ 15 ปีหรือมากกว่านั้น
เชื่อง ช้าลง
ร่าง กายของเค้าในอายุขนาดนี้ อวัยวะในร่างกายที่สำคัญๆก็เริ่มเสื่อมสภาพลงทีละน้อยๆ เค้าจะกระฉับกระเฉงน้อยลงกว่าเดิม ดังนั้นเค้าจะต้องการอาหารที่มีพลังงานน้อยๆ รวมถึงความสามารถในการทำงานของอวัยวะต่างๆก็มีประสิทธิภาพลดน้อยลงกว่าเดิม
เพราะ ร่างกายเค้าเชื่องช้าลง ร่างกายเค้าจะไม่สามารถพร้อมสำหรับการรับมือกับโรคและความเค้นอื่นๆ ดังนั้นให้รักษาระดับของสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ต่ำที่สุด คุณจะต้องใช้ความอดทนที่จะรับมือกับสุนัขที่มีอายุมากๆแล้วของคุณเมื่อเค้า เชื่องช้าลงกว่าเดิม เค้าอาจจะไม่สามารถได้ยินหรือเห็นคุณได้ถนัดนัก การที่เค้าไม่ตอบสนองคุณไม่ได้หมายความว่าเค้ามีเจตนาที่จะไม่เอาใจใส่คุณ หรอกนะ สุนัขของคุณในตอนนี้น่ะต้องการความช่วยเหลือจากคุณเพิ่มอีกนิดและเค้าก็ต้อง การเพื่อนด้วย อดทนไว้ เพราะเค้าสมควรได้รับการดูแลจากคุณ
การทำ ให้สุนัขที่มีอายุมากมีความสุขและสบายขึ้น
เนื่องมาจากสุนัขที่อยู่ในช่วง ชีวิตเช่นนี้จะมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย เค้าจะใช้เวลานานมากขึ้นกว่าจะล้มตัวลงนอนสักที่ได้ ให้มั่นใจว่าตลอดเวลานั้น เค้าไม่ได้นอนลงในที่ที่เย็น ชื้น หรือในที่ที่รับความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยตรง ให้คุณดูแลที่นอนของเค้าให้อบอุ่น เรียบและรองให้นุ่มด้วยเบาะอย่างดี หากเค้านอนนานๆบนพื้นที่ที่ไม่เรียบ ขรุขระ หรือแข็งเกินไป โดยเฉพาะกับกรณีที่สุนัขของคุณนั้นมีน้ำหนักมาก ก็อาจจะก่อให้เกิดหนังด้านตรงส่วนที่กระดูกกดทับ อย่างเช่นตรงข้อศอกหรือข้อเท้าของเค้า อันเป็นสาเหตุให้เกิดแผลและติดเชื้อได้
ให้ดูด้วยว่าเค้า สามารถไปยังที่นอนเค้าได้ง่ายๆ หากที่นอนเค้าอยู่ชั้นบนและเค้ามีปัญหาในการเดินขึ้นบันไดให้คุณหารั้วมากัน ไว้ไม่ให้เค้าขึ้นชั้นบนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วจัดที่นอนไว้ชั้นล่างให้เค้าแทน อย่าลืมว่าสายตาของสุนัขในวัยนี้นั้นเริ่มจะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ไม่ดีนัก รวมทั้งการได้ยินและการจับทิศทางก็ไม่ดีเหมือนเก่าแล้วด้วย นั่นจึงหมายความว่าสุนัขของคุณอาจจะไม่ได้ยินที่คุณสั่งหรือพูดกับเค้า และอย่าพยายามไปปรับเปลี่ยนหรือย้ายข้าวของในบ้านให้มากจนเค้าจำไม่ได้ และแน่นอนว่าอย่าทิ้งเค้าไว้ตามลำพังเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่แปลกๆ
การพา เค้าไปตรวจร่างกายกับสัตว์แพทย์เป็นประจำ
การฉีดวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ประจำปีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุนัขที่มีอายุมากๆ เช่นเดียวกับตอนที่เค้ายังหนุ่มๆอยู่ สุนัขที่มีอายุมากๆนั้นจะมีความสามารถในการต้านทานโรคต่ำลงและไม่สามารถ ต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีเหมือนเดิมแล้ว ให้พาสุนัขของคุณไปให้สัตว์แพทย์ได้ตรวจร่างกายเป็นประจำ ซึ่งเขาจะให้คำแนะนำคุณได้ว่าในสุนัขบางตัวจะต้องมาตรวจร่างกายเป็นประจำ บ่อยขนาดไหนด้วย และสัตว์แพทย์จะประเมินสุขภาพทั่วไปของอวัยวะต่างๆที่สำคัญอย่างเช่นผิวหนัง หัวใจ ไต และตับ นอกจากนี้ผู้เป็นสัตว์แพทย์ยังจะตรวจบรรดาก้อนโปนที่ผิดปกติ สุขภาพในช่องปากของสุนัขให้ด้วย โรคบางอย่าง อย่างเช่นโรคที่เกี่ยวกับไตก็ควรจะได้รับการตรวจและบำบัดเสียแต่ยังเป็น น้อยๆอยู่ด้วยการตรวจตัวอย่างเลือดที่ได้จากสุนัข (หมายถึงควรจะตรวจเสียก่อนที่จะมีสัญญาณทางแพทย์บ่งบอกถึงโรคนี้ซึ่งปรากฏ ให้เห็นทางร่างกายแล้ว)
ตัวอย่างปัสสาวะของสุนัขก็สามารถ นำมาใช้เป็นข้อมูลสุขภาพสำหรับตัวสุนัขได้ด้วย ดังนั้นคุณก็สามารถจะเก็บตัวอย่างปัสสาวะ แล้วนำไปให้สัตว์แพทย์ตรวจตอนพาเค้าไปฉีดวัคซีนหรือเมื่อถึงเวลาตรวจประจำปี ด้วยได้ ก่อนที่จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะของสุนัขให้ตรวจดูภาชนะที่จะใส่ให้แห้ง และสะอาดเสียก่อนก่อนที่จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะลงในภาชนะที่ปิดสนิทและสะอาด เมื่อถึงมือสัตว์แพทย์ แต่กระนั้นก็ตามสัตว์แพทย์อาจจะให้ภาชนะสำหรับบรรจุปัสสาวะของสุนัขโดยเฉพาะ แก่คุณเพื่อนำไปเก็บตัวอย่างก็ได้
นี่ยังเป็นโอกาสที่ดี ที่คุณจะสามารถตรวจดูน้ำหนักของสุนัขด้วย ให้ถามจากสัตว์แพทย์หากพบว่าน้ำหนักไม่ตรงเสียทีเดียวนัก สัตว์แพทย์เขาจะให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่คุณเกี่ยวกับตารางการให้อาหารสำหรับ สุนัขด้วย
เมื่อสุนัขนั้นอายุมากขึ้นและเค้าเคลื่อนไหว เชื่องช้าลงเค้าควรจะได้อาหารที่ให้พลังงานน้อยลงด้วย ในบางกรณีอย่างเช่นไตล้มเหลวและโรคหัวใจ จะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง ส่วนสำคัญของอาหารด้วย สัตว์แพทย์อาจจะอาหารสำเร็จชนิดพิเศษกับคุณ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะให้คำแนะนำกับคุณถึงวิธีการเตรียมอาหารชนิดพิเศษด้วย ตัวคุณเองที่บ้าน คุณก็ไม่ควรลืมขอคำแนะนำจากสัตว์แพทย์ด้วยหากว่าสุนัขของคุณนั้นไม่สามารถ กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระได้ ซึ่งพบบ่อยว่าเป็นเรื่องสภาวะทางการแพทย์ที่สามารถเยียวยาได้ง่าย
อุบัติเหตุ เรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ในบางโอกาส เพราะสุนัขไม่สามารถที่จะลุกหรือไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอนของเค้าหรือไปที่ ประตู บางครั้งก็อาจจะเกิดขึ้นเพราะการควบคุมประสาทในฝั่งของการทำงานของร่างกาย นั้นเสื่อมถอยลง ในกรณีเช่นนี้ วิธีการบำบัดนั้นจะยากขึ้นและไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซนต์
ข้อพิจารณาอื่นๆ
เมื่อ สุนัขไม่ค่อยกระฉับกระเฉงเนื่องจากการมีอายุมาก เค้าอาจจะไม่วิ่งนำหน้าเราเหมื่อนอย่างที่เค้าเคยเป็นเมื่อตอนที่เค้ายัง หนุ่มแน่น คุณอาจจะต้องเปลี่ยนมาเป็นการพาเค้าเดินเคียงข้างกันไปแทน เกี่ยวกับเรื่องการออกกำลังในสุนัขที่มีอายุมากๆนี้ ให้คุณแวะเข้าไปเยี่ยมชมในหน้า การออกกำลัง
ให้คุณดูแลตัดแต่ง ขนของสุนัขที่มีอายุให้ดี การดูแลเค้าอย่างดีนี้จะช่วยให้เค้ามีความรู้สึกสบายตัวและมีสุขภาพที่ดี ด้วย การแปรงขนจะช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือดให้กับผิวหนังและยังจะช่วยให้ขน เค้าเป็นมันเงา ไม่พันกันอีกด้วย สำหรับเรื่องการอาบน้ำและการตัดแต่งขนสุนัข ให้คุณแวะเข้าไปเยี่ยมชมในหน้า การ ตัดการดูแลขนสุนัข
ให้ดูแลขนของสุนัขที่มีอายุมากๆ ให้ดี การดูแลเค้าเรื่องขนนี้จะช่วยให้เค้ารู้สึกสบายตัวและมีสุขภาพดีด้วย การแปรงขนจะช่วยให้ขนของเค้าเป็นมันเงาและไม่พันกัน การแปรงขนและแต่งขนสุนัขของคุณเป็นประจำนั้นก็จะทำให้คุณสามารถตรวจสอบขนของ เค้าจากอาการขนร่วงผิดปกติ พันกัน อาการคันต่างๆ และร่องรอยของพวกเห็บหมัดรวมทั้งปรสิตอื่นๆด้วย
นอกจากนี้คุณจะยัง ทราบได้อีกว่าตรงไหนของเค้าที่โปนหรือนูนผิดปกติไป ไฝหรือเนื้องอก(ที่เกิดจากเนื้อเยื่อไขมัน) ในสุนัขที่มีอายุมากๆถือว่าเป็นปกติ และจะไม่สร้างปัญหาอะไรเว้นเสียแต่บริเวณที่เกิดนั้นจะก่อให้เกิดความเสีย หายต่อโครงสร้างอื่นๆ (อย่างเช่น บริเวณหนังตาเป็นต้น) หรือไม่เช่นนั้นก็อาจสร้างความไม่สบายตัวให้เกิดขึ้นหรือเป็นแผลได้ง่าย
ต้องรีบพาเค้าไป ให้สัตว์แพทย์ทำการตรวจ หากคุณพบว่าเนื้อส่วนไหนของเค้านั้นโปนหรือนูนขึ้นมาอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตรงที่เนื้อส่วนนั้นเกิดโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และให้เช็คดูที่เล็บของเค้าให้เป็นประจำด้วย ให้คุณให้ความสนใจกับนิ้วเล็บส่วนที่เกินขึ้นมาของเค้าเป็นพิเศษ นิ้วเล็บส่วนเกินนี้จะอยู่ด้านข้างของขา แต่จะไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำจนสามารถสัมผัสกับพื้นดินได้ นิ้วหรือเล็บนี้โดยปกติจะไม่หลุดออกจากขาของสุนัขไป บางครั้งพบว่าเล็บเหล่านี้โตเพิ่มขึ้นในลักษณะโค้งงอเข้าไปหานิ้วซึ่งหาก เป็นอย่างนี้จะสร้างความเจ็บปวดให้กับสุนัขได้อย่างมากมาย
สำหรับ เรื่องเล็บที่ปกตินั้น คุณสามารถตัดเล็บให้สุนัขของคุณได้ด้วยตัวเอง แต่หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับการตัดเล็บให้สุนัข ก็ให้พาไปให้สัตว์แพทย์หรือช่างที่ตัดแต่งขนสุนัขซึ่งเขาจะมีความชำนาญใน เรื่องนี้จัดการให้ ส่วนเรื่องปากและฟันนั้นให้คุณหมั่นเช็คช่องปากและฟันรวมทั้งเหงือกของสุนัข ของคุณเป็นระยะๆ หากคุณพบคราบหินปูนสีน้ำตาลเกาะอยู่ตามฟันของเค้า หินปูนเหล่านั้นจะเป็นสาเหตุของกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์ และเป็นสาเหตุของโรคเหงือกรวมทั้งการติดเชื้อต่างๆ และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันสุนัขหลุดออกจากปากในที่สุด
สัตว์ แพทย์ของคุณจะสามารถช่วยขูดหินปูนที่เกาะอยู่นี้รวมทั้งถอนฟันที่โยกแล้วให้ หลุดออกไปได้ ในการนี้สัตว์แพทย์อาจจะต้องทำการวางยาสลบซึ่งเป็นขั้นตอนปกติให้กับสุนัข แต่จะดีกว่ามากหากได้มีการป้องกันหรือลดการเกิดโรคทางเหงือกของเค้าให้น้อย ลงมากๆด้วยการให้อาหารแข็งๆให้เค้าทานบ้าง และให้จัดเป็นส่วนหนึ่งสำหรับอาหารที่เค้าจะต้องกินไปตลอดชีวิต นอกจากนี้การหมั่นแปรงฟันให้กับสุนัขเป็นประจำโดยใช้แปรงสีฟันที่ผลิตขึ้นมา ให้ใช้กับสุนัขโดยเฉพาะรวมทั้งยาสีฟันก็เป็นส่วนที่สามารถช่วยได้มาก หากไม่มีแปรงสีฟันก็ให้ใช้ผ้านุ่มๆหรือสำลีหมาดๆแตะกับผงฟูแทนก็ได้
เมื่อวาระสุดท้ายใกล้จะมาถึง
การ ตัดสินใจที่จะพาสุนัขตัวอื่นเข้ามาในบ้านก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่าง รอบคอบด้วยเช่นกัน มีเจ้าของหลายๆคนพบว่าลูกสุนัขตัวใหม่เข้ามาในบ้านนั้น บางทีจะเป็นการต่ออายุให้กับสุนัขที่มีอายุมากๆ ถึงแม้ว่าคุณจะมีความรู้สึกว่าเค้าของคุณจะมีใครใหม่มาแทนที่ไม่ได้ก็ตาม แต่การมีสุนัขที่เด็กกว่าวิ่งเล่นอยู่รอบๆจะทำให้สุนัขที่มีอายุมากๆนั้นได้ เพื่อนจะเป็นการง่ายมากยิ่งขึ้นสำหรับวันนั้นที่จะมาถึง ในฐานะที่คุณเป็นเจ้าของสุนัข ช่างเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดว่าคุณอยากจะให้เค้าหลับไปเลยดีหรือเปล่า แต่ก็หวังไว้ว่า เมื่อเวลานั้นมาถึงเค้าจะจากไปอย่างสงบขณะที่เค้าหลับในที่นอนอันแสนสุขของ เค้า เพราะในความจริงยังมีสุนัขอีกหลายๆตัวที่ไม่มีโอกาสเช่นนั้น
สำหรับ สุนัขที่มีคุณภาพชีวิตไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะต้องทนทุกข์จากอาการเจ็บป่วยหรือ เจ็บปวดมาตลอดเวลา ซึ่งเป็นการยุติธรรมแล้วสำหรับเค้าที่เราจะตัดสินใจให้ความเจ็บป่วยหรือเจ็บ ปวดนั้นสิ้นสุดลงโดยเร็วที่สุด เรื่องอย่างนี้คุณต้องหารือกับสัตว์แพทย์ด้วยความรอบคอบมากๆ และทั้งสองฝ่ายจะต้องเห็นพ้องด้วยกันว่าการให้เค้าตายนั้นเป็นการดีที่สุด สำหรับเค้าแล้ว แล้วให้สัตว์แพทย์ล่วงรู้ด้วยว่าคุณรู้สึกอย่างไรเพื่อที่ว่าจะได้ไม่เข้าใจ กันผิดความหมาย
ในสุนัขนั้น การให้เค้าตายมีความหมายถึงการฉีดยาไม่ให้เค้าเจ็บปวดอีกต่อไป ซึ่งจะบังเกิดผลภายในไม่กี่วินาทีเพื่อส่งให้เค้าหลับไป การที่คุณสูญเสียเพื่อนคู่หูไปนั้นมันยากที่จะทานทนได้ และมันก็ยากที่จะยอมรับว่าสุนัขของคุณไม่สามารถอยู่กับคุณไปได้ตลอด แต่คุณสามารถทำให้ดีที่สุดได้ ด้วยการอดทนและดูแลเค้าให้ดี เพื่อทำให้ปีท้ายๆของเค้านั้นมีความสุขสบาย และสนุกสนานมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
สุนัข ที่มีอายุมากๆนั้นมีความต้องการเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ร่างกายของเค้ากำลังเริ่มจะเชื่องช้าลงอันเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงความ เหนื่อยอ่อนและชีวิตกำลังเริ่มย่างก้าวเข้าไปหาจุดสิ้นสุดแล้ว ความมีอายุยืนของสุนัขนั้นมีขึ้นได้จากสาเหตุที่กว้างมาก และยังขึ้นอยู่กับแต่ละพันธุ์ด้วยแม้ว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ด้วยก็ตาม จุดเริ่มต้นชีวิตที่ดีนั้น ก็คือการดูแลอย่างถูกวิธีและรวมถึงการให้การโภชนาการที่ถูกต้องนับตั้งแต่ เวลาที่เค้าเป็นลูกสุนัขตลอดจนเวลาที่เค้าโตขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะดีติดตัวสุนัขไป และมีส่วนทำให้เค้ามีชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงไปยาวนานแม้เค้าแก่ตัวลงก็ตาม
เมื่อ คุณอยู่กับเค้าทุกๆวัน คุณจะไม่สังเกตเห็นถึงความชราของเค้าที่ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นทีละนิดหรอก แต่หากคุณให้การดูแลกับเค้าให้มากขึ้นไปอีกนิด คุณจะสามารถทำให้สุนัขที่มีอายุมากๆของคุณนั้นมีความสบาย และด้วยการหมั่นพาเค้าไปตรวจกับสัตว์แพทย์เป็นประจำ เมื่อรวมกับข้อที่ควรคำนึงประการอื่นๆแล้วคุณจะสามารถทำให้เค้ามีสุขภาพที่ ดีไปเรื่อยๆจนกระทั่งก่อนวันสุดท้ายของเค้า หากว่าเค้าอายุได้ 8-9 ปีแล้วก็ถือได้ว่าสุนัขของคุณเริ่มเข้าสู่วัยที่มีอายุมากแล้ว ในสุนัขพันธุ์ใหญ่มากๆนั้นอาจจะคำนวณว่าเค้าอยู่ในช่วงชีวิตนี้เมื่อเค้ามี อายุได้ประมาณ 8 ปี หรือเร็วกว่านั้น ในขณะที่สุนัขพันธุ์เทอร์เรียและสุนัขพันธุ์ผสมนั้นจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ยาวนานที่สุดคือประมาณ 15 ปีหรือมากกว่านั้น
เชื่อง ช้าลง
ร่าง กายของเค้าในอายุขนาดนี้ อวัยวะในร่างกายที่สำคัญๆก็เริ่มเสื่อมสภาพลงทีละน้อยๆ เค้าจะกระฉับกระเฉงน้อยลงกว่าเดิม ดังนั้นเค้าจะต้องการอาหารที่มีพลังงานน้อยๆ รวมถึงความสามารถในการทำงานของอวัยวะต่างๆก็มีประสิทธิภาพลดน้อยลงกว่าเดิม
เพราะ ร่างกายเค้าเชื่องช้าลง ร่างกายเค้าจะไม่สามารถพร้อมสำหรับการรับมือกับโรคและความเค้นอื่นๆ ดังนั้นให้รักษาระดับของสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ต่ำที่สุด คุณจะต้องใช้ความอดทนที่จะรับมือกับสุนัขที่มีอายุมากๆแล้วของคุณเมื่อเค้า เชื่องช้าลงกว่าเดิม เค้าอาจจะไม่สามารถได้ยินหรือเห็นคุณได้ถนัดนัก การที่เค้าไม่ตอบสนองคุณไม่ได้หมายความว่าเค้ามีเจตนาที่จะไม่เอาใจใส่คุณ หรอกนะ สุนัขของคุณในตอนนี้น่ะต้องการความช่วยเหลือจากคุณเพิ่มอีกนิดและเค้าก็ต้อง การเพื่อนด้วย อดทนไว้ เพราะเค้าสมควรได้รับการดูแลจากคุณ
การทำ ให้สุนัขที่มีอายุมากมีความสุขและสบายขึ้น
เนื่องมาจากสุนัขที่อยู่ในช่วง ชีวิตเช่นนี้จะมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย เค้าจะใช้เวลานานมากขึ้นกว่าจะล้มตัวลงนอนสักที่ได้ ให้มั่นใจว่าตลอดเวลานั้น เค้าไม่ได้นอนลงในที่ที่เย็น ชื้น หรือในที่ที่รับความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยตรง ให้คุณดูแลที่นอนของเค้าให้อบอุ่น เรียบและรองให้นุ่มด้วยเบาะอย่างดี หากเค้านอนนานๆบนพื้นที่ที่ไม่เรียบ ขรุขระ หรือแข็งเกินไป โดยเฉพาะกับกรณีที่สุนัขของคุณนั้นมีน้ำหนักมาก ก็อาจจะก่อให้เกิดหนังด้านตรงส่วนที่กระดูกกดทับ อย่างเช่นตรงข้อศอกหรือข้อเท้าของเค้า อันเป็นสาเหตุให้เกิดแผลและติดเชื้อได้
ให้ดูด้วยว่าเค้า สามารถไปยังที่นอนเค้าได้ง่ายๆ หากที่นอนเค้าอยู่ชั้นบนและเค้ามีปัญหาในการเดินขึ้นบันไดให้คุณหารั้วมากัน ไว้ไม่ให้เค้าขึ้นชั้นบนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วจัดที่นอนไว้ชั้นล่างให้เค้าแทน อย่าลืมว่าสายตาของสุนัขในวัยนี้นั้นเริ่มจะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ไม่ดีนัก รวมทั้งการได้ยินและการจับทิศทางก็ไม่ดีเหมือนเก่าแล้วด้วย นั่นจึงหมายความว่าสุนัขของคุณอาจจะไม่ได้ยินที่คุณสั่งหรือพูดกับเค้า และอย่าพยายามไปปรับเปลี่ยนหรือย้ายข้าวของในบ้านให้มากจนเค้าจำไม่ได้ และแน่นอนว่าอย่าทิ้งเค้าไว้ตามลำพังเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่แปลกๆ
การพา เค้าไปตรวจร่างกายกับสัตว์แพทย์เป็นประจำ
การฉีดวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ประจำปีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุนัขที่มีอายุมากๆ เช่นเดียวกับตอนที่เค้ายังหนุ่มๆอยู่ สุนัขที่มีอายุมากๆนั้นจะมีความสามารถในการต้านทานโรคต่ำลงและไม่สามารถ ต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีเหมือนเดิมแล้ว ให้พาสุนัขของคุณไปให้สัตว์แพทย์ได้ตรวจร่างกายเป็นประจำ ซึ่งเขาจะให้คำแนะนำคุณได้ว่าในสุนัขบางตัวจะต้องมาตรวจร่างกายเป็นประจำ บ่อยขนาดไหนด้วย และสัตว์แพทย์จะประเมินสุขภาพทั่วไปของอวัยวะต่างๆที่สำคัญอย่างเช่นผิวหนัง หัวใจ ไต และตับ นอกจากนี้ผู้เป็นสัตว์แพทย์ยังจะตรวจบรรดาก้อนโปนที่ผิดปกติ สุขภาพในช่องปากของสุนัขให้ด้วย โรคบางอย่าง อย่างเช่นโรคที่เกี่ยวกับไตก็ควรจะได้รับการตรวจและบำบัดเสียแต่ยังเป็น น้อยๆอยู่ด้วยการตรวจตัวอย่างเลือดที่ได้จากสุนัข (หมายถึงควรจะตรวจเสียก่อนที่จะมีสัญญาณทางแพทย์บ่งบอกถึงโรคนี้ซึ่งปรากฏ ให้เห็นทางร่างกายแล้ว)
ตัวอย่างปัสสาวะของสุนัขก็สามารถ นำมาใช้เป็นข้อมูลสุขภาพสำหรับตัวสุนัขได้ด้วย ดังนั้นคุณก็สามารถจะเก็บตัวอย่างปัสสาวะ แล้วนำไปให้สัตว์แพทย์ตรวจตอนพาเค้าไปฉีดวัคซีนหรือเมื่อถึงเวลาตรวจประจำปี ด้วยได้ ก่อนที่จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะของสุนัขให้ตรวจดูภาชนะที่จะใส่ให้แห้ง และสะอาดเสียก่อนก่อนที่จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะลงในภาชนะที่ปิดสนิทและสะอาด เมื่อถึงมือสัตว์แพทย์ แต่กระนั้นก็ตามสัตว์แพทย์อาจจะให้ภาชนะสำหรับบรรจุปัสสาวะของสุนัขโดยเฉพาะ แก่คุณเพื่อนำไปเก็บตัวอย่างก็ได้
นี่ยังเป็นโอกาสที่ดี ที่คุณจะสามารถตรวจดูน้ำหนักของสุนัขด้วย ให้ถามจากสัตว์แพทย์หากพบว่าน้ำหนักไม่ตรงเสียทีเดียวนัก สัตว์แพทย์เขาจะให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่คุณเกี่ยวกับตารางการให้อาหารสำหรับ สุนัขด้วย
เมื่อสุนัขนั้นอายุมากขึ้นและเค้าเคลื่อนไหว เชื่องช้าลงเค้าควรจะได้อาหารที่ให้พลังงานน้อยลงด้วย ในบางกรณีอย่างเช่นไตล้มเหลวและโรคหัวใจ จะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง ส่วนสำคัญของอาหารด้วย สัตว์แพทย์อาจจะอาหารสำเร็จชนิดพิเศษกับคุณ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะให้คำแนะนำกับคุณถึงวิธีการเตรียมอาหารชนิดพิเศษด้วย ตัวคุณเองที่บ้าน คุณก็ไม่ควรลืมขอคำแนะนำจากสัตว์แพทย์ด้วยหากว่าสุนัขของคุณนั้นไม่สามารถ กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระได้ ซึ่งพบบ่อยว่าเป็นเรื่องสภาวะทางการแพทย์ที่สามารถเยียวยาได้ง่าย
อุบัติเหตุ เรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ในบางโอกาส เพราะสุนัขไม่สามารถที่จะลุกหรือไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอนของเค้าหรือไปที่ ประตู บางครั้งก็อาจจะเกิดขึ้นเพราะการควบคุมประสาทในฝั่งของการทำงานของร่างกาย นั้นเสื่อมถอยลง ในกรณีเช่นนี้ วิธีการบำบัดนั้นจะยากขึ้นและไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซนต์
ข้อพิจารณาอื่นๆ
เมื่อ สุนัขไม่ค่อยกระฉับกระเฉงเนื่องจากการมีอายุมาก เค้าอาจจะไม่วิ่งนำหน้าเราเหมื่อนอย่างที่เค้าเคยเป็นเมื่อตอนที่เค้ายัง หนุ่มแน่น คุณอาจจะต้องเปลี่ยนมาเป็นการพาเค้าเดินเคียงข้างกันไปแทน เกี่ยวกับเรื่องการออกกำลังในสุนัขที่มีอายุมากๆนี้ ให้คุณแวะเข้าไปเยี่ยมชมในหน้า การออกกำลัง
ให้คุณดูแลตัดแต่ง ขนของสุนัขที่มีอายุให้ดี การดูแลเค้าอย่างดีนี้จะช่วยให้เค้ามีความรู้สึกสบายตัวและมีสุขภาพที่ดี ด้วย การแปรงขนจะช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือดให้กับผิวหนังและยังจะช่วยให้ขน เค้าเป็นมันเงา ไม่พันกันอีกด้วย สำหรับเรื่องการอาบน้ำและการตัดแต่งขนสุนัข ให้คุณแวะเข้าไปเยี่ยมชมในหน้า การ ตัดการดูแลขนสุนัข
ให้ดูแลขนของสุนัขที่มีอายุมากๆ ให้ดี การดูแลเค้าเรื่องขนนี้จะช่วยให้เค้ารู้สึกสบายตัวและมีสุขภาพดีด้วย การแปรงขนจะช่วยให้ขนของเค้าเป็นมันเงาและไม่พันกัน การแปรงขนและแต่งขนสุนัขของคุณเป็นประจำนั้นก็จะทำให้คุณสามารถตรวจสอบขนของ เค้าจากอาการขนร่วงผิดปกติ พันกัน อาการคันต่างๆ และร่องรอยของพวกเห็บหมัดรวมทั้งปรสิตอื่นๆด้วย
นอกจากนี้คุณจะยัง ทราบได้อีกว่าตรงไหนของเค้าที่โปนหรือนูนผิดปกติไป ไฝหรือเนื้องอก(ที่เกิดจากเนื้อเยื่อไขมัน) ในสุนัขที่มีอายุมากๆถือว่าเป็นปกติ และจะไม่สร้างปัญหาอะไรเว้นเสียแต่บริเวณที่เกิดนั้นจะก่อให้เกิดความเสีย หายต่อโครงสร้างอื่นๆ (อย่างเช่น บริเวณหนังตาเป็นต้น) หรือไม่เช่นนั้นก็อาจสร้างความไม่สบายตัวให้เกิดขึ้นหรือเป็นแผลได้ง่าย
ต้องรีบพาเค้าไป ให้สัตว์แพทย์ทำการตรวจ หากคุณพบว่าเนื้อส่วนไหนของเค้านั้นโปนหรือนูนขึ้นมาอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตรงที่เนื้อส่วนนั้นเกิดโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และให้เช็คดูที่เล็บของเค้าให้เป็นประจำด้วย ให้คุณให้ความสนใจกับนิ้วเล็บส่วนที่เกินขึ้นมาของเค้าเป็นพิเศษ นิ้วเล็บส่วนเกินนี้จะอยู่ด้านข้างของขา แต่จะไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำจนสามารถสัมผัสกับพื้นดินได้ นิ้วหรือเล็บนี้โดยปกติจะไม่หลุดออกจากขาของสุนัขไป บางครั้งพบว่าเล็บเหล่านี้โตเพิ่มขึ้นในลักษณะโค้งงอเข้าไปหานิ้วซึ่งหาก เป็นอย่างนี้จะสร้างความเจ็บปวดให้กับสุนัขได้อย่างมากมาย
สำหรับ เรื่องเล็บที่ปกตินั้น คุณสามารถตัดเล็บให้สุนัขของคุณได้ด้วยตัวเอง แต่หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับการตัดเล็บให้สุนัข ก็ให้พาไปให้สัตว์แพทย์หรือช่างที่ตัดแต่งขนสุนัขซึ่งเขาจะมีความชำนาญใน เรื่องนี้จัดการให้ ส่วนเรื่องปากและฟันนั้นให้คุณหมั่นเช็คช่องปากและฟันรวมทั้งเหงือกของสุนัข ของคุณเป็นระยะๆ หากคุณพบคราบหินปูนสีน้ำตาลเกาะอยู่ตามฟันของเค้า หินปูนเหล่านั้นจะเป็นสาเหตุของกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์ และเป็นสาเหตุของโรคเหงือกรวมทั้งการติดเชื้อต่างๆ และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันสุนัขหลุดออกจากปากในที่สุด
สัตว์ แพทย์ของคุณจะสามารถช่วยขูดหินปูนที่เกาะอยู่นี้รวมทั้งถอนฟันที่โยกแล้วให้ หลุดออกไปได้ ในการนี้สัตว์แพทย์อาจจะต้องทำการวางยาสลบซึ่งเป็นขั้นตอนปกติให้กับสุนัข แต่จะดีกว่ามากหากได้มีการป้องกันหรือลดการเกิดโรคทางเหงือกของเค้าให้น้อย ลงมากๆด้วยการให้อาหารแข็งๆให้เค้าทานบ้าง และให้จัดเป็นส่วนหนึ่งสำหรับอาหารที่เค้าจะต้องกินไปตลอดชีวิต นอกจากนี้การหมั่นแปรงฟันให้กับสุนัขเป็นประจำโดยใช้แปรงสีฟันที่ผลิตขึ้นมา ให้ใช้กับสุนัขโดยเฉพาะรวมทั้งยาสีฟันก็เป็นส่วนที่สามารถช่วยได้มาก หากไม่มีแปรงสีฟันก็ให้ใช้ผ้านุ่มๆหรือสำลีหมาดๆแตะกับผงฟูแทนก็ได้
เมื่อวาระสุดท้ายใกล้จะมาถึง
การ ตัดสินใจที่จะพาสุนัขตัวอื่นเข้ามาในบ้านก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่าง รอบคอบด้วยเช่นกัน มีเจ้าของหลายๆคนพบว่าลูกสุนัขตัวใหม่เข้ามาในบ้านนั้น บางทีจะเป็นการต่ออายุให้กับสุนัขที่มีอายุมากๆ ถึงแม้ว่าคุณจะมีความรู้สึกว่าเค้าของคุณจะมีใครใหม่มาแทนที่ไม่ได้ก็ตาม แต่การมีสุนัขที่เด็กกว่าวิ่งเล่นอยู่รอบๆจะทำให้สุนัขที่มีอายุมากๆนั้นได้ เพื่อนจะเป็นการง่ายมากยิ่งขึ้นสำหรับวันนั้นที่จะมาถึง ในฐานะที่คุณเป็นเจ้าของสุนัข ช่างเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดว่าคุณอยากจะให้เค้าหลับไปเลยดีหรือเปล่า แต่ก็หวังไว้ว่า เมื่อเวลานั้นมาถึงเค้าจะจากไปอย่างสงบขณะที่เค้าหลับในที่นอนอันแสนสุขของ เค้า เพราะในความจริงยังมีสุนัขอีกหลายๆตัวที่ไม่มีโอกาสเช่นนั้น
สำหรับ สุนัขที่มีคุณภาพชีวิตไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะต้องทนทุกข์จากอาการเจ็บป่วยหรือ เจ็บปวดมาตลอดเวลา ซึ่งเป็นการยุติธรรมแล้วสำหรับเค้าที่เราจะตัดสินใจให้ความเจ็บป่วยหรือเจ็บ ปวดนั้นสิ้นสุดลงโดยเร็วที่สุด เรื่องอย่างนี้คุณต้องหารือกับสัตว์แพทย์ด้วยความรอบคอบมากๆ และทั้งสองฝ่ายจะต้องเห็นพ้องด้วยกันว่าการให้เค้าตายนั้นเป็นการดีที่สุด สำหรับเค้าแล้ว แล้วให้สัตว์แพทย์ล่วงรู้ด้วยว่าคุณรู้สึกอย่างไรเพื่อที่ว่าจะได้ไม่เข้าใจ กันผิดความหมาย
ในสุนัขนั้น การให้เค้าตายมีความหมายถึงการฉีดยาไม่ให้เค้าเจ็บปวดอีกต่อไป ซึ่งจะบังเกิดผลภายในไม่กี่วินาทีเพื่อส่งให้เค้าหลับไป การที่คุณสูญเสียเพื่อนคู่หูไปนั้นมันยากที่จะทานทนได้ และมันก็ยากที่จะยอมรับว่าสุนัขของคุณไม่สามารถอยู่กับคุณไปได้ตลอด แต่คุณสามารถทำให้ดีที่สุดได้ ด้วยการอดทนและดูแลเค้าให้ดี เพื่อทำให้ปีท้ายๆของเค้านั้นมีความสุขสบาย และสนุกสนานมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)